วัดเดลีอักชารดาห์ม  ประเทศอินเดีย

วัดเดลีอักชารดาห์ม สำหรับประเทศอินเดียนั้น มีวัดเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดเนื่องจากว่าประเทศอินเดียนั้นเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธดังนั้นจึงมีวัดสำคัญสำคัญเกิดขึ้นมากมายและหนึ่งในวันที่เรากำลังจะพูดถึงกันอยู่ในครั้งนี้ก็คือวัดเดลีอักชารดาห์ม

  สำหรับวัดแห่งนี้นั้นมีความหมายว่าเป็นสถานที่อยู่อาศัยของพระเจ้าแห่งโลกโดยวัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาจากแรงศรัทธาของคนที่นับถือศาสนาฮินดู 

        ประวัติความเป็นมาของวัดแห่งนี้นั้นว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาใช้อายุในการก่อสร้างมานานและกว่าจะสร้างเสร็จนั้นก็ผ่านมาจนถึงปี 2005  แนวความคิดที่อยากจะสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมานั้นก็เพราะต้องการที่อยากจะดึงดูดให้บรรดาคนที่นับถือศาสนาฮินดูนิกายสวามีนารายันมารวมตัวกันที่ศาสนสถานแห่งนี้ดังนั้นที่นี่จึงนอกจากจะเป็นวัดที่เอาไว้สำหรับบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาแล้วยังมีการก่อสร้างเอาไว้อย่างสวยงามเพราะอยากจะให้บรรดาสาวกที่นับถือศาสนาฮินดูทั้งหลายได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมความสวยงามของตัววัด

         นอกจากนี้ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ก็ยังกลายเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศอินเดียซึ่งในแต่ละปีนั้นจะมีผู้คนต่างพากันเดินทางมาชมความงดงามแห่งของวัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก

โดยวัดแห่งนี้นั้นกลางสร้างไว้อยู่ใกล้กับแม่น้ำยมนาซึ่งถือได้ว่ามีการออกแบบรูปแบบของการสร้างวัดนั้นให้มีความยิ่งใหญ่อลังการโดยยึดแบบการสร้างของตัววัดให้มีความคล้ายคลึงกับวัดอื่นอื่นของอินเดียนั่นเอง  

         ความสวยงามของวัดเดลีอักชารดาห์ม จะเห็นได้ตั้งแต่ภายนอกซึ่งมีการจัดสวนเอาไว้อย่างสวยงามในขณะที่ตัวของตัววัดเองนั้นก็มีการแกะสลักลวดลายเอาไว้อย่างสวยงามวิจิตรบรรจงเป็นอย่างมากซึ่งถ้าหากไปดูใกล้ๆจะเห็นว่ารูปถ่ายที่มีการนำมาประดับตกแต่งวัดนั้น

จะเป็นลักษณะของสไตล์อินเดียโดยการก่อสร้างนั้นจะเป็นการใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมไม่นำวิวัฒนาการสมัยใหม่มาใช้ในการก่อสร้างซึ่งการก่อสร้างวัดแห่งนี้จะมีการเอาหินเอาทรายมาเป็นวัสดุใช้ในการก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่

       ตามประวัติเล่าว่ากว่าจะสร้างวัดแห่งนี้ได้นั้นต้องใช้ระยะเวลานานถึง 5 ปีเลยทีเดียวและกว่าจะสร้างและออกแบบวัดแห่งนี้ให้มีความสวยงามได้นั้นต้องเกณฑ์ช่างฝีมือช่างแกะสลักซึ่งจำนวนคนที่มารังสรรค์ผลงานนี้ขึ้นมามีมากกว่า 7000 คนเลยทีเดียวในขณะที่กลุ่มแรงงานที่ใช้ในการก่อสร้างขนหินขนดินขนทรายต่างๆนั้นก็มีนับแสนๆคนถึงสามารถสร้างให้วัดแห่งนี้นั้นดูยิ่งใหญ่อลังการโดดเด่นแบบนี้ได้ 

       ปัจจุบันที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศอินเดียแล้วยังเป็นสถานที่ที่บรรดานักแสวงบุญทั้งหลายมักจะมาเพื่อทำสมาธิถือศีลภาวนากันที่นี่เพราะถึงแม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวตลอดทั้งปีแต่ก็จะมีบางจุดบางมุมที่สงวนเอาไว้ให้กับผู้ที่นับถือศาสนาเข้ามาปฏิบัติธรรมนั้นเอง 

 

สนับสนุนโดย.        แทงหวยออนไลน์ยังไง

สาวโพสต์ ประสบการณ์ปรี๊ดแตกหลังจากเธอถูกพนักงานร้านอาหารเม้าท์ ว่าไปกับเสี่ย

ไม่ว่าจะเป็นสังคมไทยหรือสังคมต่างชาติเวลาที่เราเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆที่ไม่คุ้นชินหรืออาจจะเป็นสถานที่ที่เราคุ้นชินรู้จักผู้คนในสถานที่นั้นเป็นอย่างดีแต่เราก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ว่าสถานที่ที่เราไปนั้น    ประสบการณ์ปรี๊ดแตก     อาจจะมีคนที่ไม่พอใจเราและมักจะเม้าท์เกี่ยวกับเรื่องราวของเรา  

        อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคนร้ายคนนั้นอาจจะเคยถูกเพื่อนหรือคนรู้จักหรือแม้แต่คนไม่รู้จักเมาส์ หรือแม้แต่ตัวเราเองนั้นก็อาจจะเคยเม้าส์เรื่องราวของคนอื่น  แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของการเม้าท์มอยคนอื่นนั้นก็ควรจะต้องมีการพูดถึงลับหลังไม่ควรที่จะพูดให้คนที่เราเมานั้นได้ยินเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะคารมหรือการทะเลาะทำร้ายร่างกายกันได้  

        เมื่อวันที่   7 เดือนธันวาคม ปีพ.ศ. 2564  ได้มีหญิงสาวรายหนึ่งเธอได้โพสต์คลิปเธอได้เจอประสบการณ์ลงในติ๊กต๊อก   หญิงสาวรายนี้เล่าว่าเธอได้ช่วนหนุ่มใหญ่และเพื่อนสาวของเธอไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างที่พวกเธอกำลังกินข้าวกันอยู่นั้นปรากฎว่า พนักงานที่ให้บริการในร้านอาหารดังกล่าว ได้มีการพูดถึงเธอและเพื่อนของเธอ รวมถึงชายหนุ่มที่เธอไปกินข้าวด้วย ในลักษณะของการเม้าท์มอย 

      ที่สำคัญมีการพูดกันเสียงดังและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน โดยบทสนทนาของพนักงานที่เม้าท์เรื่องของพวกเธอนั้นเป็นการกล่าวถึงพวกเธอมากับเสี่ย เพื่อให้เสี่ยเลี้ยง นอกจากนี้ยังมีคำพูดเสียดสีเธอและเพื่อนมากมาย  อย่างไรก็ตามหญิงสาวรายนี้    huaydee        และเพื่อนสาวนั้นไม่ได้นิ่งเฉยเธอได้มีการเดินไปเผชิญหน้ากับพนักงานกลุ่มดังกล่าวและเธอก็บอกกับพนักงานกลุ่มดังกล่าวด้วยว่าผู้ชายที่มากับเธอนั้นไม่ใช่พ่อของเธอแล้วก็ไม่ใช่เรื่องของเธอแต่เขาเป็นป๋าของเธอ

    ที่สำคัญเธอยังบอกกับพนักงานเหล่านั้นด้วยว่าที่เธอต้องมาพูดให้พนักงานเหล่านี้ทราบว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครก็เพราะว่าเธอเห็นว่าพนักงานสนใจเธอและอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของเธอมากนั่นเอง

    อย่างไรก็ตามหลังจากที่หญิงสาวได้มีการเข้าไปพูดคุยกับพนักงานก็ทำให้พนักงานนั้นต้องออกมาขอโทษเธอพร้อมทั้งนำขนมมาเสิร์ฟให้เธอ   ซึ่งหลังจากเรื่องนี้มีการโพสต์แชร์กันออกไปก็ทำให้คนในโลกออนไลน์ต่างก็ออกมาพูดถึงการกระทำของพนักงานว่าไม่สมควรทำเพราะถึงแม้ว่าอยากจะเม้าท์มอยเรื่องของลูกค้าแต่ก็ควรที่จะเม้าท์กันหลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปแล้วหรือไม่ควรเหมาให้ลูกค้าได้ยินเพราะเป็นการเสียมารยาทและการทำงานด้านบริการก็ไม่ควรที่จะมีพฤติกรรมแบบนี้

ส.ต.ต. ที่ขับรถชนหมอกระต่ายยังไม่ออกมารับผิดชอบในขณะที่ตำรวจอ้างไม่มีคลิปจากกล้องวงจรปิดเพราะกล้องเสีย 

ส.ต.ต. ที่ขับรถชนหมอกระต่าย จากกรณีที่เกิดเหตุการณ์สลดที่คุณหมอสาวรายหนึ่งที่มีชื่อว่าคุณหมอกระต่ายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะเดินข้ามถนนทางม้าลายตรงบริเวณหน้าโรงพยาบาลขอสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ซึ่งอยู่ตรงบริเวณถนนพญาไทเสียชีวิตคาที่ทันทีและพบว่าผู้ที่ก่อเหตุขับรถชนคุณหมอจนเสียชีวิตนั้นเป็นถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจยศ ส.ต.ต.

      อย่างไรก็ตามข่าวนี้เป็นข่าวโด่งดังเนื่องจากว่าผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคุณหมอที่มีความสําคัญระดับประเทศเนื่องจากว่าเป็นคุณหมอที่ดูแลด้านสายตาซึ่งจบมาจากสาขาวิชาที่ในประเทศไทยนั้นมีคุณหมอจบในสาขานี้น้อยมากและเป็นคุณหมอที่กำลังมีความสำคัญต่อคนไข้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวนอกจากนี้อุบัติเหตุในครั้งนี้ยังสร้างความเศร้าสลดใจให้กับคนที่ทราบข่าวเป็นอย่างมาก

       มีการเปิดเผยว่าหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการแจ้งญาติของผู้เสียชีวิตทันทีโดยอ้างว่าไม่สามารถติดต่อญาติผู้เสียชีวิตได้เพราะไม่รู้ว่าจะโทรหาใครทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็มีโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตอยู่ในมือในขณะเดียวกันก็อ้าวเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุว่าไม่มีหลักฐานในจุดเกิดเหตุขณะเกิดอุบัติเหตุเพราะกล้องวงจรปิดบริเวณพื้นที่ดังกล่าวนั้นเสียซึ่งส่งผลทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตต้องไปหาข้อมูลกล้องวงจรปิดมาเองและสามารถที่จะหาข้อมูลที่เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดออกมาเผยแพร่และนำมาเป็นหลักฐานมัดตัวส.ต.ต. ได้อีกด้วย

          ทำให้คนในโลกออนไลน์ต่างก็มองว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะมีการช่วยเหลือกัน  นอกจากนี้นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุมาทางด้านผู้ก่อเหตุก็ยังไม่ได้มีการออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบื้องต้นทางด้านชาวโซเชียลนั้นได้มีการดูคลิปแล้วมองว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขับรถชนคุณหมอนั้นขับรถมาโดยที่ใช้ความเร็วสูงและไม่มีการชะลอใดๆซึ่งคุณหมอนั้นกำลังจะเดินข้ามทางม้าลายไปถึงเกาะกลางอยู่แล้วแต่ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

         นอกจากนี้หลายคนยังมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการชนคุณหมอเสียชีวิตนั้นพบว่าไม่มีการติดแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งทำให้คาดการณ์กันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้อาจจะนำรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเป็นรถของกลางที่ยึดจากประชาชนมาแล้วนำแอบมาขับขี่ก็เป็นได้อย่างไรก็ตามเบื้องต้นทางด้าน ส.ต.ต. ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่ารถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวนั้นเป็นรถของตนเองซึ่งซื้อต่อมาอีกครั้งหนึ่งไม่ได้เป็นการนำรถของกลางมาใช้แต่อย่างใด

   ในขณะเดียวกันทางด้านเจ้าของรถตัวจริงก็ออกมายืนยันแล้วว่าได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้กับร้านค้าไปแล้วแต่ร้านจะไปขายต่อให้กับใครนั้นตัวเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องมาทราบเรื่องอีกครั้งนึงก็หลังจากที่มีข่าวอุบัติเหตุเกิดขึ้นว่ามีการนำไปชนคุณหมอจนเสียชีวิตนั้นเอง 

 

สนับสนุนโดย.    agplus

ประวัตินางงามจักรวาลคนแรกของโลก 

ประวัตินางงามจักรวาล        หากพูดถึงเรื่องของความสวยความงามแล้วสิ่งที่เราอาจจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆเกี่ยวกับเรื่องของความงามก็คือการประกวดสาวงามนั่นเองซึ่งในยุคปัจจุบันนี้มีเวทีมากมายที่มีการเปิดขึ้นมาเพื่อให้สาวงามได้มีโอกาสขึ้นไปประชันโฉมกันบนเวทีประกวดแข่งขันกันกลายเป็นสาวงามที่สวยติดอันดับของประเทศหรือติดอันดับโลก  

           อย่างไรก็ตามถ้าหากเราพูดถึงเรื่องของความงามอันดับโลกนั้นปัจจุบันมีเวทีอยู่ประมาณ 5 เวทีที่สื่อว่าเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่มีคนต่างจากทั่วทุกมุมโลกพากันส่งสาวงามของประเทศตนเองไปร่วมประชันแข่งขันกัน  นั่นก็คือ Miss World รวมถึง miss international และยังมีนางงามจักรวาลนอกจากนี้ยังมีมิสซูปร้าเนชั่นแนลและมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นต้น

          ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเวทีประกวดนางงามที่มีระดับโลกมีสาวงามจากหลายประเทศทั่วโลกมาแข่งขันกันนั้นจะมีมากมายหลายเวทีแต่คุณรู้หรือไม่ว่าการประกวดนางงามครั้งแรกของโลกนั้นคือเวทีอะไรและใครเป็นนางงามคนแรกของโลกซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนางงามของโลกซึ่งเป็นนางงามคนแรกของโลกกันว่าเธอมีชื่อว่าอะไร 

    สำหรับสาวงามเป็นสาวสวยคนแรกของโลกหรือเรียกได้ว่าเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของโลกนั้นก็คือ  Armi  Helena Kuusela  และสำหรับในยุคอดีตนั้น เวทีสาวงามที่ทุกคนรู้จักกันทั่วไปคงหนีไม่พ้น  Miss Universe ที่เป็นเวทีรวมสาวงามจากทั่วทุกมุมโลกมาเข้าประกวดเพื่อหาผู้ชนะรับตำแหน่งที่จะทำกิจกรรมเพื่อสังคมในอนาคต

        ในปัจจุบันมีนางงามที่ชนะไปทั้งหมด 70 กว่าคนแต่ก่อนจะมีนางงามและเวทีประกวดมาจนถึงทุกวันนี้ต้องมีนางงามคนแรกของโลกก่อนจึงหญิงงามคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลก็คือ Armi  Helena Kuusela   นางงามจากประเทศฟินแลนด์รวมไปถึงเป็นนางงามคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้สวมมงกุฎราชวงศ์โรมานอฟที่มีเพชรประดับมากถึง 1535 เม็ด

      สำหรับประเทศไทยในทุกๆปีก็มีการจัดส่งสารงานเข้าไปแข่งขันและไปประกวดเช่นเดียวกันซึ่งประเทศไทยนั้นก็เคยมีโอกาสที่ส่งคนไทยได้เป็นนางงามจักรวาลของโลกมาแล้ว   โดยสาวงามคนแรกของไทยที่ได้เป็นสาวงามจักรวาลนั่นก็คือปุ๋ยพรทิพย์นั่นเอง  อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะผ่านมากว่า 70  ปีแล้วสำหรับการประกวดมิสยูนิเวิร์สนั้นแต่ทุกวันนี้เวทีประกวดแห่งนี้ก็ยังคงมีการเลือกคัดสรรสาวงามจากทั่วทุกมุมโลกมาประกวดประชันความงดงามกันอยู่ซึ่งสาวงามแต่ละคนกว่าที่จะผ่านได้เป็นมิสยูนิเวิร์สนั้นหรือได้เป็นนางงามจักรวาลนั้นไม่ใช่ง่ายๆ

          นอกจากความสวยงามนอกจากหุ่นดีแล้วยังต้องมีมันสมองที่ดีอีกด้วยเพราะกว่าที่จะผ่านการคัดเลือกนั้นจะต้องมีการตอบคำถามจากคณะกรรมการซึ่งถ้าหากตอบคำถามได้ดีถึงจะได้ผ่านการคัดเลือกเข้าไปในรอบลึกๆ  ดังนั้นในยุคปัจจุบันนั้นการที่มีความงามของหน้าตาและรูปร่างอย่างเดียวนั้นไม่ช่วยให้คุณเป็นนางงามจักรวาลได้ถ้าหากคุณไม่มีความงามของสมองด้วยนั่นเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.      กริลแอร์ 

ปริศนาความลับของภาพ Las Meninas  

เชื่อว่าหลายคนคงไม่มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของประวัติรูปภาพของศิลปิน ความลับของภาพ Las Meninas ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกกันมาบ้างไม่ว่าจะเป็นลีโอนาโดดาวินชีหรือแม้แต่ ปาโบล ปิกัสโซ่ 

หรือ ดิเอโก เบลาสเกวซ  ศิลปินต่างๆเหล่านี้นั้นเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกและผลงานของศิลปินเหล่านี้นั้นก็สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม

         

นอกจากผลงานของเขาที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง

แล้วภาพวาดส่วนใหญ่ของศิลปินเหล่านี้ก็มีราคาสูงมากและที่สำคัญภาพวาดที่มีการถูกนำมาประมูลในราคาที่สูงนั้นก็มักจะเป็นภาพวาดที่มีปริศนาที่บรรดาศิลปินทั้งหลายที่มีการวาดเอาไว้นั้นต้องการที่จะซื้อให้กับคนที่มาชมภาพศิลปะของตนเองซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของภาพวาด  Las Meninas  ที่หลายคนเชื่อกันว่ามีอะไรแฝงอยู่ในภาพดังกล่าว 

        บุคคลในภาพ Las Meninas  หมายถึงนางสนองพระโอษฐ์เป็นศิลปกรรมที่สำคัญโดย Diego Velazquez  เป็นคนสำคัญประจำราชสำนักสเปนในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยในภาพ ดิเอโก เบลาสเกวซ  ก็ได้ใส่กิมมิคมาในภาพด้วย

การวาดตัวละครมากมายหลอกล่อชวนให้ค้นหาคำตอบและตีความว่าคนเหล่านี้เป็นใครกันบ้างจนทำให้ภาพนี้โด่งดังและถูกขนานนามว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานศิลปะที่ทรงคุณค่า

          จุดตรงกลางภาพที่ดึงดูดคนดูมากที่สุดก็ไม่พ้นเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีครีมนั่นก็คือเจ้าหญิงมาร์การิต้าซึ่งขนาดข้างด้วยนางสนองพระโอษฐ์ 2 คนถัดไปทางขวาคือคนแคระทั้ง 2 คนส่วนด้านหลังเป็นหญิงในชุดแม่ชีชื่อว่า ดอนน่า มาเซราเดอะลัวกำลังสนทนากับชายที่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นราชองครักษ์หรือเป็นนักบวชเช่นเดียวกับเธอและชายที่จับพู่กันอยู่ทางซ้ายนั่นก็คือ  เบลาสเกวซ 

ซึ่งเป็นผู้เขียนภาพนี้นั่นเอง  เมื่อมองไปทางด้าหลังจะเห็นเป็นภาพชายหญิง 2 คนในกรอบเล็กๆซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 4 และพระราชินีมารีน่าพ่อและแม่ของเจ้าหญิงมาการิต้านั่นเอง

        ส่วนผู้ชายคนสุดท้ายในภาพที่กำลังก้าวเท้าอยู่บนขั้นบันไดคือมหาดเล็กของพระราชินี

และยังเป็นญาติของ  เบลาสเกวซ  ด้วยปริศนาในภาพนี้คือภาพของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 และผนังมาเรียนหน้าที่อยู่ด้านหลังซึ่งมีคนตั้งข้อสงสัยว่านั่นอาจจะไม่ใช่ภาพวาดได้เป็นเงาสะท้อนในกระจกของทั้งคู่ที่กำลังมองเจ้าหญิงมาการิต้าอยู่ดังนั้นคนที่ทุกคนในตัวละครในภาพนี้กำลังมองดูอยู่อาจไม่ใช่เราแต่เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 4 และพระนางมาเรียนหน้าก็เป็นได้

แม้ศิลปินจะจากโลกนี้ไปพร้อมกับความลับของภาพวาดที่พวกเขาเก็บเงินเอาไว้แต่คุณค่าของผลงานของพวกเค้าจะยิ่งมีคุณค่าเมื่อเวลาผ่านไป

 

สนับสนุนโดย.          สูตรหวยยี่กี หวยดี

ยูเครนพร้อมรบกับรัสเซียหากมีการบุกเข้ามาจริง

สำหรับปัญหาพิพาทชายแดนที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ร้อนระอุมาสักระยะหนึ่งแล้ว ยูเครนพร้อมรบกับรัสเซีย ถือขนาดที่ว่ารัสเซียมีการส่งกำลังทหารนับแสนนายไปประชิดที่แนวพนมแดนระหว่างยูเครนกับรัสเซียด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่าการบุกเข้าไปโจมตีในยูเครนอาจจะเกิดขึ้นได้จริงน่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้านี้

แต่ว่าคืนนี้จะมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเกิดขึ้นเพราะว่าผู้นำของสหรัฐและผู้นำของรัสเซียเขาจะทำการประชุมผ่านการประชุมทางไกลเพื่อที่จะหาทางออกเรื่องนี้ร่วมกันทีนี่ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นห่วงถ้าประชุมคืนนี้หาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้หาทางออกไม่ได้สุดท้ายอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่เกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลกใบนี้เลยทีเดียว

เพราะว่าข้อขัดแย้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะรัสเซียเองกับยูเครนแต่ว่าต่างฝ่ายต่างมีประเทศอื่นๆที่เชื่อมโยงแล้วคอยสนับสนุนหนุนหลังอยู่ทีนี้ถ้าไปถามถึงความพร้อมในส่วนของทางยูเครนเองทางผู้นำประเทศได้ออกมาบอกว่าตอนนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆมีความพร้อมแล้วถ้าหากว่ามีการปะทะหรือว่ามีการสู่รบจริงๆก็เชื่อว่ายูเครนจะสามารถรับมือกับกองทัพของรัสเซียได้เช่นเดียวกัน

ในส่วนของสหรัฐที่เป็นฝ่ายหนุนหลังยูเครนตอนนี้ก็บอกว่าไม่ใช่แต่เฉพาะการสนับสนุนในส่วนของกองกำลังทางทหารเท่านั้นแต่พร้อมที่จะตอบโต้ในมาตราการทางด้านเศรษฐกิจมาตราการทางการเงินกับรัสเซียอย่างหนักถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่งรัสเซียบุกเข้ามาที่ยูเครนจริง

ประกาศขู่อย่างชัดเจนเลยว่าจะคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรงถ้าเกิดว่ามีการสู่รบเกิดขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครนตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมทางไกลผ่านระบบวีดีโอระหว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำของสหรัฐและประธานาธิบดีปูตินผู้นำรัสเซียจะมีขึ้นคืนนี้เวลา22.00นาฬิกาตามเวลาของประเทศไทย

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายก็กังวลกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียวว่ารัสเซียกำลังเตรียมการที่จะบุกโจมตียูเครน ซึ่งคาดการณ์กันว่าอาจจะเกิดขึ้นจริงก็คือช่วงต้นปีน่านี้ก็คือ 2565 นี้มีรายงานว่ากองทัพของรัสเซียไปตึงกำลังทหารจำนวนมากทีเดียวประมาณ1แสนนาย

บริเวณพรมแดนที่ติดกับยูเครนทางผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเขาก็วิเคราะห์ถึงปัญหาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นถ้าหากว่าการหาลือไม่ได้ผลไม่สามารถหาทางออกร่วมกันของทั้งสองฝ่ายได้ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือว่ารัสเซียถ้าเกิดผลร้ายแรงตามมาสุดท้ายมันอาจจะเป็นสงครามโดยกองกำลังทหารรัสเซียกว่าแสนนาย

อาจจะเข้าไปโจมตียูเครนจริงแล้วมันอาจจะเชื่อมโยงไปถึงความเคลื่อนไหวของชาติอื่นๆตามมาด้วยที่อาจจะไปกระตุ้นปะทุทำให้กลายเป็นสงครามโลกขึ้นมาได้เลยทีเดียว

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย      aesexy

ตำนานความเชื่อของพญานาค

สำหรับในความเชื่อหลักๆของบ้านเราก็จะนำเอาไปเลี้ยงกับพระพุทธศาสนาบอกว่าพญานาคมีอิทธิฤทธิ์อยากจะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ตำนานความเชื่อของพญานาค และก็บวชไม่ได้บ้างล่ะและด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกรูปปั้นพญานาคถึงได้เยอะแยะตามวัด

เนื่องจากนี้จะเชื่อกันหรือไม่ว่าจริงๆแล้วพญานาคตัวนั้นอาจจะเกิดมาก่อนพระพุทธศาสนาอีกโดยในความเชื่อของนาคไทยว่ากันว่าน่าจะรับมาจากทางอินเดียเอาจริงๆแล้วหากเราไม่ได้บอกก็มีหลายๆคนที่รรู้แล้วบ้างเพราะว่าคำว่านาคมันก็ได้มีจากภาษาสันสกฤตที่แปลว่างูเห่าอินเดีย

ซึ่งมันก็จะสามารถที่จะพบเห็นได้อยู่เยอะในทางอินเดียตอนใต้ในแทบป่ารกและงูก็จัดเป็นสัตว์ที่มีพิษที่ร้ายแรงผู้คนในแทบนั้นเขาก็เลยกลัวกันคนโบราณเขาก็เลยมองเห็นอนุภาพของงูก็เลยเอามันมาเปรียบเทียบกับพระเจ้าเสียงเลย

ดังนั้นคนในแทบบนั้นก็นับถืองูเป็นเทพจ้าเรื่องนี้เราก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างหลากหลายที่ทั่วโลกเลยโดยในอารยธรรมเขามักจะมีรูปปั้นที่เป็นเทพเจ้าของงูอยู่แต่อาจจะเรียกกันแตกต่างกันในท้องที่คงจะแยกได้เปนพวกทางฝั่งตะวันตกกับงูฝั่งตะวันออก

เพราะฉะนั้นแล้วทางฝั่งตะวันตกเขาจะมองว่างูนั้นจะเป็นสัตว์ร้ายที่เป็นตัวแทนของอสูรกิเลสก็เอาไปเชื่อมกับเรื่องอะไรแบบนี้แต่ในทางกลับกันงูทางตะวันออกจะเปรียบเสมือนกับเทพเจ้าโดยมันจะมีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์วาสนาอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลให้คนมีความสุข

นอกจากนี้งูหรือนาคในฉบับที่เราเชื่อกันมันมักจะเชื่อมโยงกับด้านความสว่างความศักดิ์สิทธิ์ของคนฮินดูที่บอกวส่าพญานาคนั้นเป็นผู้ใกล็ชิดกับพระเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำที่จะเป็นบัลลังก์ของพระเจ้าอะไรก็ว่ากันไปโดยศาสนาพุทธก็ได้นำเอาพญานาคมาทำเป็นบุตรคือที่อินเดียเขาจะมีการตบตีกันเรื่องศาสนาเลยระหว่างศาสนาพราหมณ์-ฮินดูพุทธและก็ลัทธิอื่นๆ

ซึ่งในแต่ละที่ก็จะมีการหยิบยกเอาเทพเจ้าของตัวเองไปข่มเทพเจ้าอีกลัทธิหนึ่งหรือไม่ถ้าหากมีลัทธิไหนที่มีองค์เทพเจ้าที่เขาได้นับถือมากกว่าก็จะปรับตัวเองให้สูงขึ้นแล้วก็ทำให้แรงของอีกฝั่งหนึ่งให้ต่ำลงอย่างเช่นบางท้องที่ก็จะบอกว่าพระนารายณ์เป็นพระที่ใหญ่ที่สุดบางที่ก็บอกว่าเป็นพระศิวะอะไรก็ว่ากันไป

เนื่องจากนี้เขาก้ได้มีการนำเอาสัตว์ของลัทธิต่างๆมาเป็นบริเวณของแต่ละองค์เทพด้วยเพื่อเป็นการบอกว่าเทพเจ้าของข้าได้อยู่เหนือสิ่งที่ตัวเองนับถืออะไรก็ว่ากันไป

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    หวยดี

วัฒนธรรมด้านการแต่งกายของไทย 

         วัฒนธรรมด้านการแต่งกายของไทย  สมัยที่เรายังเรียนหนังสือนั้นสิ่งที่คุณครูมักจะสอนเรามาก็คือการเรื่องของการแต่งกายในสมัยโบราณนั้นจะมีการแต่งกายที่แตกต่างจากสมัยปัจจุบันมากนักเพราะเนื่องจากสมัยปัจจุบันนั้นเรามีการแต่งกายแบบสากลทั่วโลกที่แต่งกายเหมือนกันนั่นก็คือถ้าเป็นการใส่เสื้อผ้าอยู่บ้านก็จะเป็นการใส่เสื้อยืดกางเกงหรือเสื้อยืดกับกระโปรง

แต่ถ้าเกิดว่าต้องการให้ดูดีเป็นแบบทางการก็จะเป็นการใส่เสื้อสูทหรือการใส่ชุดราตรีซึ่งการแต่งกายแบบนี้เป็นมาตรฐานสากลของทั่วโลกแต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือได้ว่าเรามีวัฒนธรรมเป็นของเราเองในสมัยโบราณเรามีเครื่องแต่งกายที่มักมีการแต่งกายเอาไว้อย่างสวยงามแลดูอ่อนช้อยงดงามยิ่งนัก

ซึ่งการแต่งกายในสมัยโบราณนั้นคนไทยมักจะนิยมทอผ้าใส่กันเองและผ้าที่ใช้งานนั้นก็จะเป็นพวกผ้าไหมในอดีตหากเราเคยดูละครจะเห็นว่าผู้หญิงมักจะสวมใส่ผ้าสไบและนุ่งโจงกระเบนหรือผ้าถุงในขณะที่ผู้ชายนั้นจะไม่ใส่เสื้อและจะนุ่งเป็นโจงกระเบนแทนหรือถ้าหากเป็นพวกขุนน้ำขุนนางมียศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาหน่อยก็จะมีการใส่เสื้อที่เรียกว่าเสื้อราชปะแตน

แต่ถ้าหากเป็นชาวบ้านหรือเป็นข้าทาสบริวารทั่วไปก็จะนุ่งโจงกระเบนหรือผ้าขาวม้าอย่างเดียวเท่านั้นต่อมาก็มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการแต่งกายให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นและดูเรียบร้อยมากขึ้นเพราะมีการเปลี่ยนแปลง เกี่ยวกับการแต่งกาย เพราะจากเดิมที่ใส่สไบก็เปลี่ยนมาเป็นนุ่งโจงกระเบนและใส่เสื้อแขนยาวแทน

ซึ่งแขนเศร้านั้นก็มักจะเป็นแขนทรงกระบอกหรือเปลี่ยนมาใช้ผ้าที่เป็นผ้าลูกไม้ในการเย็บตัดอย่างประณีตและสวยงามบางคนก็จะนุ่งเป็นผ้าถุงกับผ้าลูกไม้ส่วนผู้ชายนั้นก็จะใส่เสื้อสีขาว แขนยาว มีปกเสื้อปิดถึงลำคอ  แต่ถ้าหากเป็นชาวบ้านทั่วไปก็ยังไม่นิยมใส่เสื้อกันอยู่ดี และเมื่อโลกมีพัฒนาการกันมากขึ้น 

แนวการแต่งตัวก็มีการเปลี่ยนไปเริ่มแต่งตัวแบบสากลกันมากขึ้นนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามการแต่งกายตามแบบไทยแท้โบราณ ปัจจุบันก็ยังมีการนิยมแต่งกันอยู่ ถึงแม้จะไม่แต่งกันบ่อยมากนัก แต่ถ้าหากมีงานสำคัญๆ หรืองานใหญ่ๆ คนไทยก็ยังคงนิยมแต่งกายตามวัฒนธรรมไทยเหมือนเดิมเพื่อเป็นการอนุรักษ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยเอาไว้ 

 ให้ลูกหลานได้รู้เกี่ยวกับบวีถึความเป็นไทย การแต่งกายอย่างไรในสมัยโบราณ และทุกวันนี้เวลาทีมีการแต่งงานเจ้าบ่าว เจ้าสาวก็ยังคงมีการแต่งงานด้วยชุดไทย ที่มีความสวยงามให้เห็นอยู่ถือว่าเป็นการสืบสารวัฒนธรรมด้านการแต่งกายเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไปนั่นเอง

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.    เว็บหวย จ่าย บาทละ 97

ประวัติต้นกำเนิดของอาหารที่ชื่อว่าแซนวิช

        สำหรับอาหารที่ชื่อว่า แซนวิช นั้นเชื่อว่าไม่ว่าประเทศไหนก็ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีแม้แต่ว่าประเทศไทยเองก็ตามถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของแซนด์วิชนั้นจะไม่ได้เกิดจากประเทศไทยแต่ในปัจจุบันนั้นแซนด์วิชกลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารเช้ารับประทานก็จะนิยมทานแซนวิชเป็นอาหารเช้าแทน

        สำหรับ แซนวิช ในปัจจุบันที่เราเห็นกันนั้นก็คือการที่เรานำขนมปัง 2 แผ่นมาประกบกันโดยระหว่างการขนมปังนั้นจะมีเป็นพวกเนื้อสัตว์หรือแม้แต่แฮมเบอร์เกอร์และผักเป็นส่วนประกอบวางไว้คั่นกลางซึ่งแต่เดิมนั้นจริงๆแล้วแซนวิสไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปก็มีการปรับเปลี่ยนรูปหน้าตาของแซนวิชนั่นเอง

     ในสมัยโบราณนั้นแซนด์วิชเป็นการที่นำขนมปังซึ่งมีลักษณะเป็นแบบแผ่นราบเรียบตัดให้เป็นวงกลม ไม่ได้มีเนื้อสัตว์อยู่ต้องการของแผ่นขนมปังแต่อย่างใดซึ่งจริงๆแล้วในสมัยก่อนนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนในประเทศเอธิโอเปียหรือในประเทศอินเดียก็กินแซนด์วิชกันแล้วและเป็นที่นิยมมากในกลุ่มของประเทศยุโรปซึ่งเป็นช่วงยุคกลาง

          ว่ากันว่าในสมัยนั้นคนที่จะกินแซนวิชได้นั้นจะเป็นคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงซึ่งแซนวิชในสมัยนั้นจะมีทั้งขนมปังและยังมีเครื่องเคียงที่กินคู่กันนั่นก็คือมันบดกับซอสนั่นเองแต่คนในสังคมชั้นสูงจะไม่ค่อยนิยมกินมันกับซอสดังนั้นทั้งสองอย่างนี้จะถูกส่งต่อไปให้หรือนำไปบริจาคให้กับพวกกลุ่มคนชั้นล่างแทนซึ่งกลุ่มคนชั้นสูงนั้นก็จะกินแค่ขนมปังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

             หลังจากนั้นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 17   แซนวิชก็เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นโดยในประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นมีการนำสลิปไปขายในร้านเหล้าซึ่งคนจะนิยมกินควบคู่กับการกินเหล้านั่นเองและในการทำแซนด์วิชขายในร้านเหล้านั้นนอกจากจะมีขนมปังแล้วยังมีการนำเนื้อสัตว์อาหารเป็นชิ้นเล็กๆวางไว้ข้างๆขนมปัง 2 แผ่นนั้นอีกด้วย

               และหลังจากนั้นแซนวิชก็ได้รับความนิยมเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือกลุ่มคนชั้นกลางก็เริ่มมานิยมกินแซนวิชกันมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าจะกินสำหรับเวลาดึกๆซึ่งปัจจุบันนั้นนิยมกินแซนวิชเป็นอาหารว่างนั่นเอง 

         และแซนวิชยังกลายเป็นอาหารที่คนในบ่อนการพนันนิยมกินกันเป็นอย่างมากเพราะมีอยู่ครั้งหนึ่ง  ชายที่ชื่อว่า  จอห์น มานตากู เคยนำแซนวิชไปกินขนาดเล่นการพนันและคนในบ่อนการพนันก็เห็นและชื่นชอบจึงเรียนแบบเขานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะแซนวิชเป็นอาหารที่ไม่ต้องใช้สอนซ่อมไม่ต้องยุ่งยากมีแค่ขนมปังกับเนื้อสัตว์ก็สามารถทำให้อิ่มได้แล้ว

 

สนับสนุนโดย.    hiallbet

ตำนานวังตาเพชร  อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 

ตำนานวังตาเพชร ที่จังหวัดสุพรรณบุรีมีอําเภอแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอำเภอบางปลาม้ามีเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบึงขนาดใหญ่โดยบุญดังกล่าวนั้นในสมัยอดีตโบราณนั้นมีจระเข้ตัวใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วยโดยจระเข้ตัวดังกล่าวนั้นชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นชายชราคนหนึ่งซึ่งได้กลายร่างเป็นจระเข้และไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้จึงอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวนั้นเรื่อยมาจนในที่สุดจระเข้ตัวนั้นก็เสียชีวิตลง

        สำหรับตำนานที่มีการพูดถึงจระเข้ตัวดังกล่าวและมึงที่จระเข้ตัวนั้นอาศัยอยู่นั้นมีการพูดถึงตำนานวังตาเพชร   ซึ่งคำว่าวังก็หมายถึงบึงขนาดใหญ่ที่จระเข้อาศัยอยู่นั่นเองโดยตำนานนี้มีการเล่าขานว่าแต่เดิมนั้นบริเวณพื้นที่วังตาเพชรนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มากหากจะข้ามผ่านตรงบริเวณดังกล่าวนั้นจะต้องมีการข้ามด้วยการนั่งเรือข้ามฟากไป

       อยู่มาวันหนึ่งมีชายชราและหญิงชราคู่หนึ่งซึ่งทั้งสองคนนั้นเป็นผัวเมียกันโดยผู้ชายนั้นชื่อว่าตาเพชร  ตำนานวังตาเพชร ซึ่งประเภทนี้แกเป็นคนที่มีวิชาได้มีการเรียกเวทมนตร์คาถาโดยเฉพาะวิชาแปลงร่างเป็นสัตว์อยู่มาวันหนึ่งเมียของตาเพชรกับตาเพชรอยากจะไปทำบุญที่วัด  แต่บังเอิญว่าเมื่อเดินมาถึงบึงดังกล่าวปรากฏว่าไม่มีเรือข้ามฟากเลย   ตาเพชร 

               เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้บอกกับภรรยาของตนเองว่าเขาจะกลายร่างเป็นจระเข้และให้ภรรยาขี่หลังข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งโดยเขาจะทำน้ำมนต์เอาไว้ให้ภรรยาถือขันน้ำมนต์ข้ามไปอีกฝั่งนึงด้วยพร้อมกันพอไปถึงฝั่งตรงข้ามให้ภรรยาของเขานั้นเอาน้ำบนล่างไปที่หัวจระเข้หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถกลับกลายร่างมาเป็นคนได้ซึ่งภรรยาก็รับปากและถือขันน้ำมนต์นั่งบนหลังจระเข้เตรียมข้ามฟากไปอีกฟากหนึ่งพร้อมกันแต่ระหว่างทางซึ่งอยู่ตรงบริเวณกลางบึงนั้น

                ปรากฏว่าภรรยาของตาเพชรไม่รู้ไปทำอีท่าไหนขันน้ำมนต์ตกลงจากมือร่วงลงไปในแม่น้ำทำให้ไม่มีน้ำมนต์ที่จะคืนร่างให้กับตาเพชรได้  เมื่อจระเข้ตาเพชรส่งเมียของตนเองเข้าฝั่งเสร็จ ก็ต้องลอยคออยู่ในบึงดังกล่าวเพราะไม่สามารถแปลงร่างกลับมาเป็นคนได้นั่นเองดังนั้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจระเข้ของตาเพชรจึงต้องอยู่ภายในบึงดังกล่าวนั้นจนในที่สุดเมื่อเวลาหลายปีผ่านไปเจอแค่ตัวดังกล่าวก็แก่และสิ้นอายุขัยไปเองทำให้ชาวบ้านต่างก็พากันเรียกมึงดังกล่าวว่าบึงตาเพชรและปัจจุบันก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นวังตาเพชรนั่นเอง 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย      aecasino