ยุคสมเสด็จพระบรมไตรโลกนาถ

นอกจากนี้เมื่อในสมัยยุคปลายๆของอาณาจักรสุโขทัยก็ได้มีอาณาจักรเล็กๆอีกแห่งหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นมาทางด้านตอนใต้นั่นก็คืออาณาจักรอยุธยานำทีมโดยพระเจ้าอู่ทองและด้วยความที่ว่าผังเมืองของอยุธยามันจะเป็นเกาะที่มีน้ำล้อมรอบเลยก็นับว่าเป็นภูมิศาสตร์ที่ดีมากๆเลยก็เลยทำให้อาณาจักรอยุธยาสามารถเติบโตได้อย่างรวบเร็วแล้วก็สามารถกลืนอาณาจักรสุโขทัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาได้เลย

เนื่องจากนี้ก็ได้เริ่มมีพวกชาวตะวันตกพวกแรกได้เข้ามาค้าขายกันและพวกนี้ก็คือชาวโปรตุเกตในเวลานั้นเองก็เป็นช่วงของสมเสด็จพระบรมไตรโลกนาถบ้านเมืองก็จะเริ่มถูกจัดระบบระเบียบให้มีกฎเกณฑ์มลลเทียนบาลอะไรขึ้นมา

ซึ่งมันก็จะเป็นกฎหมายใช้ในการปกครองทำให้ช่วงเวลานั้นเริ่มมีพวกขุนนางขึ้นมาในพระราชสำนักแต่ถึงแม้ว่าจะมีระบบระเบียบยังไรก็ตามก็เป็นธรรมดาที่อาณาจักรจะมีทั้งขึ้นๆลงๆมีไร้เสถียรภาพอะไรบ้าง

สำหรับอยุธยาในสมัยนั้นก็ใช่ว่าจะสงบเรียบร้อยดีมาตลอดมันก็เกิดการคานอำนาจกันระหว่างขุนนางกับกษัตริย์ขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาเลยหากจะตบตีกันโดยลำพังมันก็โอเคถ้าไม่มีมือที่สามเข้ามาเกี่ยว

นอกจากนี้ทางทิศเหนือที่ดินแดนอาณาจักรของตองอูที่ได้เริ่มแผ่ขยายอำนาจเข้ามาก็ได้เข้ามาตีเอาพื้นที่ล้านนาไปเสร็จแล้วก็รามลงมาจนถึงอยุธยาจึงทำให้ทั้งสองอาณาจักรนี้ได้เจอกันแล้วก็อย่างที่รู้ๆกันก็จะเป็นการต้นกันระหว่างการตบตีกันของไทยกับพม่า

ซึ่งได้ทำสงครามมากกว่า20รอบกันเลยทีเดียวในชวงเวลานั้นเองก็มีเหตุการณ์สำคัญที่เจอขึ้นอย่างมากมายอย่างเช่นการสูญเสียพระศรีสุริโยทัยตรีที่กล้าหาญตามมาด้วยการเสียกรุงครั้งที่1

เนื่องจากความอ่อนแอของราชสำนักที่มีมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยทำให้กรุงศรีอยุธยาถูกตีแตกได้อย่าง่ายดายมากทำให้อาณาจักรอยุธยาในตอนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าแล้วก็มีการนำตัวมากมายของคนในราชวงศ์ไปเป็นตัวประกันอย่างเช่นพระนางสุพรรณกัลยาหรือว่าสมเด็จพระนเรศวรเองด้วย

ดังนั้นในระหว่างที่พระองค์ได้ไปอยู่ที่พม่าพระองค์ก็ได้ไปฝึกอยู่ที่นั่นไม่ว่าจะทั้งหมุนทั้งรบสุดท้ายก็ได้กลับมายังอยุธยาแล้วก็ได้กอบกู้อยุธยาทำให้เกิดเหตุการณ์ชนช้างอะไรขึ้นมาและก็ไล่พม่าให้มันกลับบ้านมันไปผลก็ตามมาก็คืออยุธยาก็กลายมาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อีกรอบ

โดยในรอบนี้เองก็ได้เติบโตขึ้นอย่างแรงคือได้มีชื่อเสียงไปถึงยุโรปเลยด้วยความที่ว่ายุคของอาณาจักรสยามเปิดเสรีกับตะวันตกอย่างมากด้วยทุนเดิมจากเกาะอยุธยาได้ตั้งอยู่ในระหว่างแม่น้ำแล้วก็เลยทำให้มีเรือแล้นมาอย่างมากมายทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ทำให้ฝรั่งเป็นที่นิยมของฝรั่งเหมือนอย่างปัจจุบันนี้เลย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ขายหวยออนไลน์

ตำนานองค์พระพูดได้ วัดชุม

ประเทศไทยของเรานั้นนับได้ว่าก็มีเรื่องที่แปลกประหลาดอยู่เยอะเหมือนกับโดยบางทีหลายๆคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีอะไรที่ชวนขนลุกแฝงอยู่ในจังหวัดที่เราอยู่ดังนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่ากับสถานที่ลี้ลับที่เราจะนำเอามาเล่าให้คุณได้อ่านกันในวันนี้ 

สำหรับรูปปั้นพูดได้เคยได้ยินเรื่องรูปปั้นพระที่สามารถสื่อกับมนุษย์อย่างเราได้หรือไม่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรูปปั้นพระก็ชั่งแต่อยู่ๆได้พูดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีหลอนพอสมควรแต่ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงที่ในทุกวันนี้บบางคนก็ยังสามารถได้ยินองค์พระท่านพูดอยู่เลย

ซึ่งพระองค์ดังกล่าวคือพระพุทธรูปองค์ที่ตั้งอยู่ในวัดศรีชุมเป็นโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ว่ากันว่ารูปปั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยพ่อขุนรามหรือว่าก่อนน่านั้นแล้วแต่ว่าเรื่องราวของพระพูดได้นั้นเรื่องได้เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา

เมื่อตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมาหาราชท่านจะนกทัพไปโจมตีกบฏที่หัวเมืองสวรรคโลกโดยชาวเมืองพวกนั้นก็คือคนไทยด้วยกันเองนี่แหละและพอคนไทยรู้ว่าจะต้องไปรบกับคนไทยทหารบางคนก็เกิดอาการระเหี่ยใจไม่อยากจะสู้รบ

ดังนั้นพระนเรศวรจึงต้องพาทหารมาหยุดวางแผนก่อนแล้วก็จะกอบกู้กำลังทหารแบบนี้โดยการให้มาไหว้พระในระหว่างทางในการยกทัพไปในครั้งนี้สุโขทัยมันก็จะเป็นทางผ่านพระนเรศวรก็เลยให้ทหารทุกคนเข้ามายังวัดต่อหน้าพระพุทธรูปจะทำการไหว้ถามประมาณเหมือนกับเซี่ยมซีอะไรประมาณนั้น

นอกจากนี้ก็มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนั่นก็คือทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงตอบรับออกมาจากองค์พระดังกล้องไปทั่วประมาณว่าให้ทหารไปรบไปตีพวกสวรรคโลกดังนั้นทหารก็จึงแน่ใจว่าจะต้องเป็นบัญชาการจากสวรรค์แน่เลยเราจะต้องไปตีพวกกบฏเราจะต้องมีชัยชนะก็มีกำลังใจหลังจากนั้นมาเรื่องราวองค์พระพูดได้ก็ได้เรื่องลือไปทั่วเลยและได้ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้ถูกพูดถึงในเรื่องของพระที่พูดได้

เนื่องจากนี้สถานที่แห่งนี้ก็ยังได้เป็นสถานถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก็คือพิธีที่จะสาบานตนว่าจะไม่ทรยศต่อกษัตริย์เอาจริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นแผนการทั้งหมดของพระนเรศวรล้วนๆเลยคือว่าข้างหลังขององค์พระก็จะเป็นกำแพงที่ว่าข้างในกำแพงจะมีรูที่จะสามารถเดินขึ้นไปได้และข้างในนี้ก็จะเป็นโพรง

ซึ่งมีเสียงอะไรเกิดขึ้นในกำแพงนี้เสียงนี้ก็จะกล้องราวกับว่ากำลังพูดได้เลยแต่ทว่าในเรื่องแบบนี้มีแค่น้อยคนเท่านั้นที่รู้หนึ่งในนั้นก็คือองค์พระนเรศวรเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  aesexy

ราชวงศ์หยวนล่มสลายเหตุใด?

ซึ่งจู่หยวนจางนี้เป็นคนที่มีภาวะผู้นำอย่างมากมายเลยทีเดียวเมื่อเวลาต่อมาก็ได้มีคนศรัทธาในการนำของจู่หยวนจางจึงทำให้จู่หยวนจางแยกออกมาตั้งเป็นกองกำลังของตัวเองในการต่อต้านราชวงศ์หยวนด้วยตัวเองก็เรียกได้ว่า

ในขณะนั้นก็มีกองกำลังหลายกองกำลังที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำการต่อสู้กับราชวงศ์หยวนแต่ก็ยังคงมีการต่อสู้แข่งขันกันเองภายในหมู่ของชาวจีนด้วยกันแลวจู่หยวนจางก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้แยกออกมาตั้งเป็นกองกำลัง

โดยในระยะแรกจู่หยวนจางเองกมีกองกำลังพลที่ได้มาเข้าร่วมด้วยประมาณ700คนแต่เมื่อระยะเวลาได้ผ่านไปเรื่อยความศรัทธาของประชาชนชาวบ้านที่มีต่อจู่หยวนจางก็สูงขึ้นๆจนกระทั่งได้มีคนมาเข้าร่วมประมาณ2หมื่นคนเลยทีเดียว

นอกจากนี้ที่จู่หยวนจางนั้นที่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านและก็มีการเข้าร่วมจากชาวบ้านมากขึ้นๆก็เพราะว่าจู่หยวนจางนั้นได้มีความมุ่งมั่นในการที่จะบริหารกองทัพของของเขาให้มีความชอบธรรมในสายตาของประชาชนโดยจู่หยวนจางนั้นจะเน้นย้ำในเรื่องของวินัยในกองทัพว่าทหารจะไม่ไปทำร้ายประชาชนทหารจะค่อยปกปักรักษาแล้วก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับในความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนแต่จะช่วยในการปกป้องประชาชนให้ประชาชนรู้สึกว่ามีความหวังในชีวิตและได้มาเป็นแนวร่วมกับกองทัพของจู่หยวนจาง

ซึ่งในขณะที่ชาวจีนต่างๆมีการจัดออกมาเป็นกองกำลังเป็นกลุ่มอะไรต่างๆมากมายเลยแล้วก็ไปทำการลุกฮือเข้าไปทำการขับไล่การปกครองของชาวมองโกในสมัยราชวงศ์หยวนก็ปรากฏแล้วว่าในเวลาเดียวกันเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์หยวนเองก็มีการแย้งชิงอำนาจกันอย่างดุดเดือดเลยทีเดียว

จนกระทั่งทั้งสองปัจจัยมันได้มาผสมกันภัยจากภายนอกแล้วก็ความขัดแย้งภายในราชวงศ์หยวนกันเองจนกระทั่งจู่หยวนจางเห็นว่ามันเป็นจังหวะที่เหมาะสมและเป็นจังหวะที่ดีจู่หยวนจางจึงได้ทำการสั่งการให้แม่ทัพใหญ่ของจู่หยวนจางที่มีชื่อว่า แม่ทัพสีต๋า นำกำลังพลบุกเข้าไปในเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนก็คือเมืองต้าตู

เนื่องจากนี้จู่หยวนจางได้สั่งการให้แม่ทัพสีต๋าให้นำเอากำลังพลจำนวน2.5แสนนายบุกเข้าไปในวันที่28กรกฎาคม1367ซึ่งในการนี้จักรพรรดิหยวนซุนตี้ก็เห็นว่าสถานการณ์นั้นเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการต่อต้านเพราะองค์ทรงประเมินสถานการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เห็นว่าราชวงศ์หยวนนั้นคงไม่สามารถที่จะต้านทานกองทัพอันเกรียงไกรของจู่หยวนจางได้

ดังนั้นจักรพรรดิหยวนซุนตี้จึงได้ทำการตัดสินใจพาพระญาติแล้วก็ชาวมองโกต่างๆหลบหนีออกไปนอกดินแดนของจีนออกไปนอกด่านเลยจนกระทั่งถึงเมืองสร้างตู่หลังจาดนั้นกองทัพของจู่หยวนจางก็ยึดเมืองต้าตูหรือว่าเมืองปักกิ่งในยุคปัจจุบันนี้จนกระทั่งจู่หยวนจางทำการสถาปนาชัยชนะและได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิหมิงไท่จู่

 

สนับสนุนโดย  bk8

โอมชุมทองมือปราบเจ้าวังโนราห์

สำหรับเรื่องราวจระเข้กินคนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ได้มีชายสองคนที่เขาเป็นพ่อค้าหวายอยู่ที่ตลาดแห่งหนึ่งโดยทั้งสองคนนี้ได้ล่องเรือไปที่คลองอีปันหรือว่าคลองมโนราห์จากนั้นทั้งสองคนก็ได้หายไปอย่างปริศนาโดยที่ไม่มีใครพบเห็นเขาทั้งสองคนเลย

ซึ่งชาวบ้านที่ได้อาศัยอยู่ในระแวกนั้นพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านก็ได้ออกตามหาชายทั้งสองคนนี้ที่เขาได้หายตัวไปอย่างปริศนาจากนั้นก็ได้พบเรือที่ชายทั้งสองคนนั้นได้นำเรือออกไปครั้งสุดท้ายทั้งนี้อย่างไรก็ตามชาวบ้านเขาไม่เชื่อว่านี้มันคือเหตุการณ์ฆาตกรรมหรือว่าเหตุการณ์โดนทำร้ายอย่างแน่นอน

เนื่องจากว่าเรือที่ชาวบ้านได้พบนั้นได้แตกละเอียดราวกับว่าโดนสัตว์ขนาดใหญ่กัดเข้าไปที่กลางลำเรือจนทำให้เรือคว่ำแตกละเอียดบรรดาชาวบ้านต่างก็พากันลงความเห็นกันว่าชายทั้งสองคนนี้ที่ได้หายตัวไปถูกเจ้าวังโนราห์คาบลงไปกินแล้วล่ะ

สาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านได้คิดเช่นนั้นว่านี่ได้เป็นฝีมือของเจ้าวังโนราห์เพราะว่ามันได้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่บ่งบองว่านี่มันเป็นฝีมือของเจ้าวังโนราห์หรือจระเข้ยักษ์กินคนแห่งคลองอีปันนี้และไม่กี่วันต่อมาชาวบ้านก็ได้พบกับเรืออีกหนึ่งลำลักษณะของเรือที่ชาวบ้านได้พบนั้นเรือแตกออกจากกันด้วยแรกกัดที่เยอะมาก

โดยว่ากันว่าหลังจากที่เจ้าวังโนราห์ได้รู้สึกว่าติดใจกับรสชาติของเนื้อมนุษย์จึงได้ออกหากัดกินชาวบ้านที่ได้ล่องเรือสัญจรผ่านในคลองแห่งนี้อยู่เป็นประจำเลย

ซึ่งเจ้าวังโนราห์ได้สังหารเหล่าชาวบ้านที่ได้ล่องเรือผ่านในขณะนั้นไม่เว้นแม้แต่เด็กและวัยชราเลยและด้วยท่ามกลางความหวาดกลัวของชาวบ้านผู้ใหญ่บ้านก็เลยจ้างวานหมอปราบจระเข้ที่มีฝีมือเก่งไปทั่วประเทศให้เข้ามาทำการปราบจระเข้กินคนหรือว่าเจ้าวังโนราห์ตัวนี้ปรากฏว่า

เมื่อหมอปราบจระเข้ได้เข้ามาถึงเจ้าวังโนราห์ไม่ขึ้นมาปรากฏตัวให้เห็นเลยจะมีแต่เพียงจระเข้ทั่วไปที่ได้อาศัยอยู่ในคลองแห่งนั้นที่ไม่ใช่เจ้าวังโนราห์ที่ถูกสังหารไปแต่ตัวของเจ้าวังโนราห์ยังอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้

เนื่องจากว่าหมอปราบจระเข้ชื่อดังหลายคนพยายามที่จะหาเจ้าวังโนราห์แต่ก็ไม่พบเลยซึ่งเป็นไปได้อย่างไรก็ไม่มีใครทราบหลายคนได้ขนานนามอีกชื่อหนึ่งให้มันเลยว่าจระเข้ผีแต่ชื่อเสียงของเจ้าวังโนราห์หรือจระเข้ยักษ์กินคนแห่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีนี้ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหมอปราบจระเข้ชื่อดังโอมชุมทองพรานจระเข้หนุ่มที่มีฝีมือดีที่เข้ามาปราบเจ้าวังโนราห์

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์ไม่มีขั้นต่ำ

ประวัติศาสตร์ของนายป๋วย

บุคคลดีที่มีใจสัตย์ซื่อผู้ใหญ่ที่โอบอ้อมอารีนักวิชาการที่เป็นมิ่งขวัญเสาหลักทันเศรษฐศาสตร์ผู้เป็นธรรมแบบอย่างผู้เสียสละที่ต่อสู้เพื่อตอบแทนคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน

ย้อนกลับไปเมื่อปีพุทธศักราช2459เด็กชายป๋วยได้ลืมตาดูโลกในบ้านหลังเล็กๆฐานะยากจนแถวตลาดน้อยมีพี่น้อยรวม7คน พ่อได้เป็นชาวจีนอพยพอาชีพขาส่งปลาชื่อว่า นายซา ส่วนแม่คือ นางเซาะเช็ง เชื้อสายจีนไทยแต่ก็สามารถส่งลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญแผนภาษาฝรั่งเศสได้

เมื่อเด็กชายป๋วยมีอายุได้เพียง10ขวบคุณพ่อก็ได้ถึงแก่กรรมภาระเลี้ยงดูลูกทั้ง7คนจึงได้ตกมาเป็นของแม่เด็กชายป๋วยได้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาด้วยคะแนนดีเด่นโรงเรียนอัสสัมชัญจึงขอให้ช่วยสอนวิชาคำนวณและภาษาฝรั่งเศสทันทีครูป๋วยได้รับเงินเดือน40บาทแบ่งให้แม่30บาทเหลือใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย

นอกจากนั้นก็ได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยวิชาศาสตร์และการเมืองเพียง3ปีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นล่านให้อาจารย์ฝรั่งเศสในระหว่างนั้นในปีพุทธศักราช2481ก็ได้สอบชิงทุนรัฐบาลได้ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ลอนดอนประเทศอังกฤษในปีพุทธศักราช2484

นายป๋วยได้เรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ1ด้วยคะแนนสูงสุดจนได้รับทุนการศึกษาต่อปริญญาเอกทันที

ในขณะที่นายป๋วยกำลังศึกษาอยู่ปริญญาเอกอยู่นั้นสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช2485รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจเข้ารวมกับฝ่ายอักษะและได้ประกาศกับฝ่ายสัมพันธมิตรคนไทยระดับปัญญาชนได้รวมตัวกันตั้งขบวนการเสรีไทยทั้งในและต่างประเทศ

นายป๋วยที่ได้ใช้ชื่อจัดตั้งว่า นายเข้ม เย็นยิ่ง ได้ร่วมเป็นอาสาสมัครในกองทัพอังกฤษได้เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับเสรีไทยในบ้านเกิดด้วยความกล้าหายหลังสงครามโลกยุติลง นายป๋วย ก็ได้กลับไปยังอังกฤษได้ขอคำยศพันตรีที่กองทัพอังกฤษนั้นได้มอบให้เพราะยึดมั่นคำปฏิญาณที่ว่า “ การเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยในครั้งนี้มิได้ต้องการผลตอบแทนด้านๆเลยทั้งสิน

ในปีพุทธศักราช2489นายป๋วยก็ได้สมรสกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของนายป๋วยเป็นเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุกที่ได้ยืนเคียงข้างกันตลอดมาและการวางตัวของภรรยานายป๋วยถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยในการรักษาความซื่อสัตย์ความสุจริตตลอดชีวิตการทำงานของนายป๋วยหลังจากที่เรียนจบปริญญาเอก ในปีพุทธศักราช2492 ดร.ป๋วยเลือกที่จะรับราชการแทนการทำงานกับบริษัทเอกชนที่เสนองานพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงมา “ด้วยสำนึกว่า ด้วยจากจะเกิดเมืองไทยกินข้าวไทยแล้วยังได้รับทุนเรียนรัฐบาลไทยคือเงินของชาวนาเงินของชาวไทยไปเมืองนอกแล้วผูกพันธ์ใจว่าจะรับราชการไทยด้วย”เช่นกัน

การเข้าถึงงานศิลปะในยุคปัจจุบัน 

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่เทคโนโลยีต่างๆไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่จะเป็นอินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบันก็มีการพัฒนา ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่คนแก่ต่างๆผู้คนที่อยู่ในช่วงวัยใดๆก็ตามสามารถเข้าถึงช่วงเย็นต่างกัน อะไรก็ตามที่จะทำให้ในยุคปัจจุบันการพัฒนาเกี่ยวกับงานศิลปะหรือศิลปินต่างๆเองมีการพัฒนางานหรือมีการปรับปรุงรูปแบบในการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น ลักษณะในการเผยแพร่งานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของงานศิลปะต่างๆหรือประติมากรรมต่างๆมีผลกระทบต่อชีวิตผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในการทำงานหรือแม้แต่จะเป็นการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันที่มีความเคร่งเครียดที่ค่อนข้างเยอะ การแข่งขันที่สูงมากยิ่งขึ้นจึงทำให้ผู้คนต่างๆมีความต้องการในการเสพสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย งานศิลปะคือหนึ่งในนั้นที่มีหน้าที่ในการเข้าถึงผู้คน

โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในการใช้ชีวิตของผู้คนที่มีการพัฒนาโดยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้มีการพัฒนาคนข้างมากในยุคปัจจุบันจึงมีส่วนสำคัญที่หอศิลปะแห่งชาติ หรือสถาบันที่เกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆที่เกี่ยวกับการทำงานศิลปะในยุคปัจจุบันก็มีการพัฒนาที่ยั่งเยอะ

พี่เอกจะไปสำคัญที่ในยุคปัจจุบันมีการเข้าถึงงานศิลปะพม่าไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะในยุคก่อนหรือแม้แต่จะเป็นงานศิลปะในยุคปัจจุบันไม่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเข้าชมงานแต่ในยุคปัจจุบันเราสามารถค้นหาประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบในการทำงานหรือแม้แต่จะเป็นรูปภาพต่างๆจากอินเทอร์เน็ตได้นี่จึงทำให้มีการพัฒนาทางด้านความเข้าใจของผู้คนรอบข้าง

นั่นเป็นสาเหตุจากว่างานศิลปะต่างๆเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกแนวคิดต่างๆของศิลปิน เมื่อทุกคนเข้าใจแล้วบางครั้งผู้คนก็มีความต้องการในการเข้าไปมองเห็นของจริงๆหรือว่าสัมผัสจริงๆนี่คือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่การเข้าถึงงานศิลปะในยุคปัจจุบันมีรูปแบบที่มากมายไม่ว่าจะเป็น การเข้าถึงของศิลปินโดยตรงในยุคปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook IG Twitter Instagram สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นช่องทางระหว่างผู้เข้าชมงานศิลปะเกษตรกรอย่างไรก็ตามในปัจจุบันจะมีการพัฒนาที่ค่อนข้างเยอะรูปแบบต่างๆมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมทำให้ผู้คนต่างๆมีการพัฒนางานอยู่ตลอดเวลา งานศิลปะหรือการเข้าถึงงานในยุคปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านข้าง ของผู้คนในยุคปัจจุบันมีลักษณะในการทำงานที่มากมายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบในการทำงานเครียดหรือการแข่งขันที่สูงในยุคปัจจุบัน

นี่เองจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการผ่อนคลายในปัจจุบันที่หอศิลปะเป็นรูปแบบหรือเป็นช่องทางที่ทำให้ศิลปินต่างๆเหล่านี้ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆให้กับผู้ที่ต้องการจะเข้าชม 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  huaydee

ยุคเรเนซองส์รุ่งเรืององค์ความรู้ต่างๆ

ช่วงเวลาประมาณ500ปีก่อนคริศตกาล ถึง คริสต์ศตวรรษที่1สรุปได้ว่ายุคของเรอเนซองส์นั้นก็คือการฟื้นฟูองค์ความรู้ต่างๆที่ได้ย้อนกลับไปถึงพันปีเลยทีเดียว

ซึ่งนักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ได้ก่อให้เกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็คือโลกได้เกิดมีชนชั้นใหม่เกิดขึ้นมาก็คือชนชั้นพ่อค้าและนายธนาคาร

เมื่อคนพวกนี้ได้มีอำนาจมากขึ้นจนเป็นผู้อุปถัมป์กลุ่มใหม่นอกเหนือไปจากอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักรชนชั้นใหม่นี้รวยมาก

ยุคเรเนซองส์ได้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครรัฐฟลอเรนซ์เราจะต้องเข้าใจด้วยว่าในตอนนั้นประเทศอิตาลีที่เรารู้จักในปัจจุบันไม่เกิดขึ้นมีเพียงนครรัฐต่างๆที่มีเจ้าผู้ครองของตัวเองไม่ว่าจะเป็นรัฐมิลาน รัฐเวนิส รัฐเนเปิ้ลส์ และ รัฐสันตะปาปา รัฐฟลอเรนซ์นั้นเอาตัวรอดจากการรุกรานของรัฐต่างๆด้วยการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการธนาคารของยุโรปทำให้ชนชั้นนายทุนในฟลอเรนซ์มีอิทธิพลมากกว่าทหารและศาสนาอีกตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากๆได้แก่ตระกูลเมดีชีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากที่สุด

นอกจากนี้เขาจึงได้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองแห่งการค้าการลงทุนนี้ยุคไหนๆคนรวยก็มีนิสัยที่เหมือนกันรวยแล้วก็อยากที่จะสร้างบารมีอยากจะแยกตัวจากคนที่รวยเฉยๆเพราะว่าต้องการที่จะให้โลกรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้มีดีแค่รวยแต่ยังมีอารยธรรมมีสุนทรียะที่สูง มีรสนิยมดีว่างั้นเถอะคือรวยแล้วก็อยากจะสร้างความเป็นผู้ดีเข้าไปอีกนั่นแหละ

ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างภาพแวดล้อมที่สมเกียรติดต่อความรวยของตัวเองสถาปัตยกรรมของเมืองฟลอร์เรนซ์ที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ส่วนมากก็เกิดจากการสปอนเซอร์ของตระกูลเมดิชี่ทั้งสิ้นตระกูลเมดิชี่เป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปินและนักคิดที่โด่งดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็นไม่เคิล เองโจโล ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ และ ราฟาเอล จิตรกรชื่อดังด้วย

นอกจากการเกิดขึ้นและยิ่งใหญ่ของชนชั้นนายทุนแล้วปัจจัยอื่นๆที่ส่งเสริมให้เกิดการเรเนซองส์นี่ก็ได้แก่การได้แลกเปลี่ยนแนวคิดต่างๆกับชาวต่างชาติที่เกิดจากเส้นทางการค้าขายในยุคกลางนั้นเส้นทางสายไหมเกิดขึ้นและยาวที่สุดถึง1หมื่น กม. เลยทีเดียวคือได้มีความยาวจากญี่ปุ่นสุดถึงยุโรปตอนใต้

เนื่องจากนี้ปัจจัยกระตุ้นอีกอย่างที่สำคัญคือการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปื้ลหรือว่าอาณาจักรโรมันตะวันออกทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของนักวิชาการสาขาต่างๆที่ได้หอบเอาหนังสือวิทยาการความรู้ต่างๆจากจักรวรรดิโรมันมาสู่ยุโรปและเผยแพร่ความรู้เก่าแก่อีกครั้ง

การฟื้นฟูวิทยาการในยุคนี้ไม่ใช่แค่ศิลปะเท่านั้นแต่ฟื้นฟูองค์ความรู้ทุกๆอย่างๆกลับไปอ่านจากยุคกรีกและโรมันโบราณฟื้นฟูองค์ความรู้ทางปรัชญา วรรณกรรม บทละคร วิทยาศาสตร์ วิศวะกรรม สถาปัตยกรรม คณิตศาสตร์กายวิภาคหรือว่าอนาโตมี

ปัญหาเศรษฐกิจสมัยยุคราชกาลที่8

ปัญหาเศรษฐกิจสมัยยุคราชกาลที่8ชาวเกษตรกรได้มีความขัดสนเป็นอย่างมาก

ซึ่งในสมัยยุคสยามชาวเกษตรกรได้มีความขัดสนเป็นอย่างมากจากนั้นเกษตรกรทั่วไปจะต้องเสียอากรค่าน้ำที่เก็บจากการจับปลาในแม่น้ำลำคลองอากรสวนจากการทำสวนไม้ผลและอากรค่านา

ซึ่งเรียกเก็บมากน้อยตามความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่นอกจากนั้นชายซึ่งได้เป็นกำลังหลักในการผลิตจะต้องถูกเกณฑ์แรงงานรับใช้หลวงเป็นประจำทุกปีหากผู้ใดที่ต้องการที่จากบ้านไปใช้แรงงานจะต้องเสียเงินทดแทนวิกฤตการเศรษฐกิจที่เรียกว่าได้ระบาดไปทั่วโลกในปลายทศวรรษ2460ตลอดถึงทศวรรษ2470จึงต้องทำให้รัฐบาลต้องเร่งรัฐจัดเก็บภาษีอากรอย่างหนักจนภาคเกษตรกรยากไร้ไม่มีเงินเสียภาษีอากรให้กับหลวงจะต้องถูกริบทรัพย์ทั้งโคกระบือที่นาและบ้านเรือนเพื่อขายทอดตลาดปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป

การขายทอดตลาดทรัพย์สมบัติของราษฎรผู้ยากจนในบางตำบลได้กระทำอย่างอเนจอนาจมากที่สุดน่าสงสารราษฎรเจ้าทรัพย์

ซึ่งได้มานั่งดูเขาขายทอดตลาดทรัพย์สมบัติของตนมีเลือกสวนไรนาและวัวควายแววตาน่าเศร้าจะร้องไห้ก็ไม่เชิงหนังสือพิมพ์หลักเมือง28มิถุนายน 2472

นอกจากการเร่งรัฐจัดเก็บภาษีอากรแล้วรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องปลดข้าราชการบางส่วนออกเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายแต่การที่มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อคนชนชั้นกลางอย่างหนัก ขณะที่ชนชั้นสูงโดยเฉพาะกลุ่มของเจ้านายได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยทำให้กระแสต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ดำเนินมาอย่างเงียบๆเป็นเวลานานมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันความขัดแย้งนี้ได้ประสานเข้ากับความเดือดร้อนทั้งในเมืองและชนบท

อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจจนกลายมาเป็นกระแสเคลื่อนไหวทางการสังคมอันทรงพลังอย่างยิ่งเวลานี้ไปที่ใดแม้แต่ชาวชนบทก็ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจและการเมืองได้ยินข้อคลหาอย่างธรรมดาและเดือดร้อนบางว่ารัฐบาลปกครองราชอย่างสาทยังหลอกลวงอย่างดูดเลือดกันทุกหนแห่ง นาย ทองเจือ จารุสาธร ได้ถวายฎีกา14มีนาคม 2474รัฐบาลได้ช่วยชาวนาด้วยวิธีอย่างไรยังไม่มีใครทราบบัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยว่าประชาชนพลเมืองก็ควรหาหนทางช่วยตนเองด้วย

โดยที่ไม่คิดที่จะพึ่งรัฐบาลอีกต่อไป ธวัช ฤทธิเดช ถวายฎีกา ซึ่งฎีกาที่เต็มไปด้วยคำที่เผ็ดร้อนเหล่านี้ได้ไหลเข้าสู่ราชสำนักอย่างต่อเนื่องกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าต้องเตรียมออกประกาศตักเตือนราษฎรชาวนาเพื่อปรามการถวายฎีกาที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันการที่ต่างชาติมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือดินแดนสยามก็ได้ทำให้หนังสือพิทพ์หลายฉบับสามารถเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเศรษฐกิจรวมทั้งโจมตีทางหลักการเน้นความสำคัญของชาติกำเนิดอย่างรุนแรง

สิ่งเหล่านี้ได้ก่อตัวขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่5หรือประมาณ พ.ศ.2450มันได้มีหนังสือพิทพ์จากทางต่างประเทศอยู่กลุ่มหนึ่งเลยทีเดียวซึ่งได้เผยแพร่ความคิดทางการเมืองทั้งความคิดประชาธิปไตยความคิดชาตินิยมความคิดสังคมนิยมก็มีอยู่ในช่วงนั้นด้วย

 

สนับสนุนโดย  ทาง เข้า dewabet

คณะราษฎร2475ไม่ใช่การปฏิวัติของชาวนา

นอกจากนี้อย่างไรก็ตามมันอาจจะเป็นการเคลมใหญ่เกินไปว่าความเดือนร้อนของประชาชนชั้นล่างเป็นสาเหตุหลักในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร เพราะ2475ไม่ใช่การปฏิวัติของชาวนาที่ลุกฮือขึ้นมาเปลี่ยนแปลงระบอบ เพราะคณะราษฎรส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทั้งนั้น

เพราะคณะราษฎรส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทั้งนั้นปัญหาหลักน่าจะเป็นการกระจุกตัวของตำแหน่งทางการเมืองและตำแหน่งราชการระดับสูงสำนวนฝรั่งเขาเเรียกกันว่าGlass Ceiling หรือ เพดานกระจกที่หนามากGlass Ceilingนั้นหมายความว่าเป็นอุปสรรคที่ขวางอยู่เหนือหัวแม้มองไม่เห็นเพราะว่ามันใสๆแบบแก้วแต่เราจะไม่สามารถปีนขึ้นไปเกินจากที่ๆเรายืนอยู่ได้เลย

ทั้งนี้เพดานกระจกที่ว่าก็คือความไม่มีเชื้อสายความไม่ได้มีนามสกุลที่ถูกต้องความไม่มีคอนเน็คชั่นในแง่ครอบครัวสายเลือดนั่นเองคนธรรมดาที่อยากเจริญก้าวหน้าถึงแม้ว่าจะหลุดพ้นจากการเป็นชนชั้นล่างก็ต้องเข้าไปเป็นข้าราชการในระบบที่ตัวเองไม่มีวันได้เป็นใหญ่เป็นโตไม่เหมือนกับคนที่มีเชื้อสายแต่กำเนิดยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีก็ยิ่งเป็นข้าราชการระดับกลางยากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับคณะราษฎรสมาชิกที่เป็นสายพลเรือน เช่นปรีดี พนมยงค์ ก็มีพื้นเพในลักษณะนี้คือได้เกิดในครองครัวชนบทที่หล่อหลอมให้เขามองเห็นปัญหาและขับเคลื่อนความคิดว่าถ้าผลประโยชน์ไปไม่ถึงทุกคนชนชั้นก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ถ้าเราลองอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่1ที่นายปรีดีเป็นคนเขียนก็จะสะท้อนเรื่องนี้ตรงๆในท่อนที่บอกว่าถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใด ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธาแต่สำหรับสายทหารในคณะราษฎรมุมมองความเห็นอกเห็นใจชนชั้นล่างแบบสายพลเรือน

อาจจะแตกต่างกันออกไปแต่พวกเขาก็รู้สึกแบบเดียวกันว่าระบบรวบอำนาจทำให้ชาติอ่อนแอประเทศไม่เสียดินแดนแต่ก็เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแต่ผลประโยชน์กลับไม่กระจายออกไปมากพอ

ชาวชาติชาติหรือคนในอาณัติของเจ้าอาณานิคมก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทยอีกต่างหาก พระยาทรงสุรเดชมีความเห็นในมุมทหารต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่าพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมดมุ่งแต่ทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดิน หรือ พระยาพหลก็คิดว่าพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทำอะไรตามใจเกินไปไม่สนใจระดับล่างเลย

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะมีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากเพราะทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์และทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ล้วนแต่สมาทานกับระบบอำนาจนิยมอย่างเต็มที่

ภายในคณะราษฎรที่มีทั้งทหารและพลเรือนมีความเห็นร่วมกันแบบกว้างๆเพียงว่าจะต้องให้มีการปกครองแบบราชาธิปไตนภายใต้กฎหมายเท่านั้น

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  dewabet

ศิลปะจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของเราหรือป่าว

สำหรับหลายคนมักจะมีการมองว่าการเรียนวิชาศิลปะนั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และยังส่งผลก่อให้เกิดการเสียเวลาอีกด้วย โดยส่วนมากผู้ใหญ่มักจะไม่ให้ความสำคัญกับศิลปะเท่าไหร่นัก ดังนั้นมันจะก่อให้เกิดการให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆ

ดังนั้นจึงเกิดคำถามต่างๆตามมา ว่าเรานั้นควรที่จะเรียนศิลปะหรือไม่ และศิลปะนั้นจำเป็นต่อการใช้ชีวิตองเราหรือป่าว ซึ่งหลายคนก็ยังไม่ทราบว่าศิลปะนั้นแท้ที่จริงแล้วมันอยู่รอบๆตัวเรา หรืออาจจะอยู่กับกิจกรรมต่างๆของเราในทุกๆวัน เพราะศิลปะเหล่านั้นล้วนผสมผสานเข้ากับสิ่งแวดล้อมของเราเอาไว้ด้วยกัน

ดังนั้นเรามองว่าศิลปะคือสิ่งที่ทุกคนนั้นจะต้องทำความเข้าใจหรือเรียนรู้เอาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญแถมยังสามารถที่จะนำมันนั้นไปต่อยอดในการทำสิ่งอื่นๆได้ โดยเป็นการนำความคิดสร้างสรรค์ไปประติดประต่อให้เกิดเป็นเรื่องที่ดีได้ โดยไม่ว่าจะออกมาสในรูปแบบการเรียนหรือการทำงานก็ตาม

การเรียนรู้ทางด้านศิลปะถือได้ว่าเป็นประโยชน์กับเราโดยตรงเลยแหละ และยังหลากหลายช่องทางด้วยกันอีกนะ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ทางด้านนี้เราจึงจำเป็นจะต้องมีติดตัวของเราเอาไว้ เพราะถ้าหากว่าใครคนไหนกันที่ไม่มีศิลปะในใจแล้วนั้นเรามอองว่าเขาคนนั้นอาจจะใช้ชีวิตในการดำรงในแต่ละวันยากลำบากพอสมควร

เนื่องจากเราจำเป็นที่จะนำศิลปะเหล่านั้นมาเพื่อเป็นการดำเนินชีวิตของเรา โดยมันจะมีความจำเป็นอย่างไรบ้างมาดูกันเลย

ศิลปะกับการทำงาน ทางด้านของการทำงานนี้เราล้วนจำเป็นที่จะมีความคิดที่แปลกหรือแหวกแนวในการคิด ดังนั้นศาสตร์ในการนำมาใช้ก็จะต้องเป็นศิลปะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแน่นอน ยิ่งบางอาชีพที่จะต้องอาศัยทักษะในการทำงานเกี่ยวกับความนึกคิดด้วยแล้วละก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทางด้านศิลปะให้เข้าใจเป็นอย่างดี

ลองิดดูสิว่าหากคุณจะต้องออกแบบเสื้อผ้า หรือแม้แต่การดีไซร์ห้อง หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการอาศัยศิลปะขั้นสูงเพื่อการออกแบบทั้งสิ้น ไม่เพียงแค่ผลงานที่จะนำเสนอนะ หลักในการพูดคุยหรือเจรจาก็ตามยังต้องอาศัยทักษะที่ดีหรือศิลปะเข้ามาร่วมอีกด้วยนะ

หรือแม้แต่การทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันก็เป็ฌนการนำศิลปะเข้ามาร่วมอย่บ่อยครั้ง การตกแต่งบ้านหรือแม้แต่อารมณ์ของเราก็ล้วนเป็นการชักนำเข้าสู่ทางด้านศิลปะด้วยกันทั้งสิ้น นี่จึงเป็นสาเหตุหลักๆที่บอกว่าศิลปะเข้ามาอยู่กับเราโดยตลอดเวลา การที่เรานั้นอารมณ์จะดีขึ้นได้ ส่วนหนึ่งก็ถูกมองว่าศิลปะเท่านั้นที่จะนำพาถึงแม้ว่าทุกคนมักมองว่ามันไม่จำเป็นแต่หากมองดีๆลึกๆๆจะเล็งเห็นว่าศิลปะนั้นอยู่กับเราจริงๆ

 

สนับสนุนโดย  dewabet mobile