เมืองที่จมอยู่ใต้มหาสุทร

เมืองที่จมอยู่ใต้มหาสุทรที่ทำให้นักโบราณคดีต่างให้ความสนใจ

พระราชวังCLEOPATRA

สำหรับชายฝั่งอเล็กซานเดรียที่อยู่ในเขตประเทศอินเดีย ซึ่งมันก็ได้มีโบราณสถานที่ได้มีการเชื่อกันมาว่ามันได้เป็นพระราชวังค์ของพระนางคลีโอพัตรา ที่ได้เป็นราชนีที่มีเสน่ห์ ณที่เมืองโบราณ ซึ่งในพระราชวังค์สถานที่แห่งนี้นั้นยังเคยได้เคยเป็นหนึ่งในเมืองของในสมัยนั้นเมื่อระยะเวลาประมาณ2,000ปีก่อน

ซึ่งในสมัยนั้นได้เกิดเหตุการแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเมื่อประมาณปี1,500ปีก่อน หลังจากนั้นมาหลังจากมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็ได้ทำให้ ณที่เมืองแห่งนี้ก็ได้จมลงสู่ใต้ก้นท้องทะเลจากนั้นมาทางด้านนักโบราณคดีก็ได้ดำน้ำลงไป

เพื่อเข้าไปทำการสำรวจเศษซากวัตถุโบราณต่างๆจากนั้นนักดำน้ำที่ได้ลงไปใต้น้ำก็ได้ไปพบกับวัตถุโบราณต่างๆอย่างมากมาย ซึ่งทางด้านนักโบราณก็ยังได้มั่นใจกันอีกว่าสถานที่เหล่านั้นมันก็อาจจะมีสถานที่ที่เอาไว้ฝังพระศพของพระนางคลีโอพัตรา อีกด้วยเช่นกัน

เมืองไบแอ

นอกจากนี้ด้านเมืองไบแอนั้น ซึ่งมันได้เป็นเมืองโรมันในสมัยโบราณ จากนั้นมาก็ได้มีการวิเคราะห์กันมาว่ามันอาจจะมีมาตั้งแต่500ร้อยปีที่แล้วจากนั้นหลังในอดีต เมืองไบแอนั้นยังได้กลายเป็นเมืองที่มีความยิ่งใหญ่อีกทั้งมันยังเต็มไปด้วยความมั่งคั่งของเงินทองมากมาย

ที่ได้สันนิษฐานเอาไว้ว่ามันน่าจะเป็นเมืองของเหล่าผู้คนที่ได้เป็นคนชั้นสูงในช่วงของระยะเวลาประมาณ500ปีก่อน และก่อนที่จะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะจมหายลงไปใต้ท้องทะเล เพราะมันได้มีเหตุเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟอีกทั้งยังได้รวมไปถึงการเคลื่อนตัวด้านชายฝั่งทั้งนี้ในส่วนที่ด้านเหลืออยู่บนพื้นที่แห่งนี้ก็จะมีแต่เศษซากที่มันได้ปรักหักพังเสียหาย

ซึ่งมันก็ได้ประกอบไปด้วยโดมและมันก็ยังได้มีเส้นขนาดผ่านศูนย์กลางประมาณ21.5เมตร ทั้งนี้มันก็ยังได้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่อยู่ใต้ท้องทะเลจากนั้นยังได้เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เหล่านักวิศวะกรรมต้องตะลึ่งใจ ที่สถานที่แห่งนี้ได้เป็นสิ่งที่ได้มีการก่อสร้างขึ้นที่มีควาใหญ่มากที่สุดในโลก และก่อนที่จะสร้างวิหารที่ได้มีการผ่านการเวลามาแล้วมากถึง1,700ปี

ที่สถานที่เมืองแห่งนี้ได้สูญหายไปจากบรรดาผู้คน จากนั้นมาในเรื่องของตำนานในสถานที่แห่งนี้ก็ยังได้ถูกเล่าขึ้นมาอีกครั้งว่า นอกจากนี้ได้มีการค้นพบพื้นที่แห่งนี้ได้จมอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือในพื้นที่อ้าวเนเปิลในประเทศอิตาลี

ซึ่งเรื่องราวของที่แห่งนี้มันได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีต่างก็ได้ให้ความสำคัญ

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  ทางเข้า nowbet

ข้อห้ามของสองประเทศ ภูฏาน และ รัสเซีย

ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ประเทศภูฏาน

ถึงแม้ว่าการที่ได้สูบบุรี่ในที่สาธารณะจะเป็นเรื่องที่ดูปกติของประเทศทั่วโลกแต่สำหรับประเทศที่ลายล้อมไปด้วยของภูเขานั้นและป่าไม้ที่ได้มีความร่มลื่นอย่างประเทศภูฏานนั้นก็ได้เป็นประเทศเดียวที่มีกฏหมายที่ไม่ให้ประชากรและนักท่องเที่ยวห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะและยังรวมไปถึงห้ามจำหน่ายด้านบุหรี่ของยี่ห้อต่างๆ

ภายในร้านค้าที่อยู่ในประเทศอีกด้วย เนื่องจากจะเกรงว่าด้านควันของบุหรี่นั้นจะทำให้อากาศที่บริสุทธิ์ภายในประเทศนั้นจะเต็มไปด้วยของมลพิษ

หากคุณมีความต้องการที่อยากจะสูบบุหรี่ก็จะให้สูบในพื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เอาไว้เพียงเท่านั้น อย่างเช่นตามโรงแรมร้านอาหารหรือสถาบันเทิงจะมีการจัดทำพื้นที่ให้ สำหรับที่สูบบุรี่เอาไว้ให้โดยเฉพาะและมันจะต้องเป็นในเวลาค่ำแล้วเท่านั้น ซึ่งโดยบุหรี่เหล่านั้นได้มีประชากรและนักท่องเที่ยวจะได้รับอนุญาติให้ได้นำเอาเข้าบุหรี่ได้ไม่เกินคนละประมาณ200ม้วน

และจะต้องมรการไปเสียภาษีตามที่ได้กำหนดหากได้มีการนำเอาเข้ามาที่ได้เกินไปมากกว่านั้นก็จะต้องเสียภาษีในการนำเข้ามากกว่าปกติถึง200เท่าและถ้าหากว่าคุณนั้นจะไปหาซื้อบุหรี่เอาทีหลังแล้วละก็จะบอกได้เลยว่ายากมากๆ เนื่องจากผู้ที่ได้ค้าบุหรี่ในตลาดมืดก็จะทำการขายให้กับลูกค้าที่ได้รู้จักเพียงเท่านั้นเพียงเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อทางกฏหมายนั่นเอง

ห้ามให้ดอกไม้เป็นเลขคู่ ประเทศรัสเซีย

โดยเฉพาะสำหรับหนุ่มๆที่จะเข้าไปจีบสาวๆประเทศรัสเซียและได้ซื้อดอกไม่นำเอาไปฝากพวกเธอแล้วละก็ควรที่จะนับดอกไม้ของคุณให้ดีๆล่ะเพราะแทนที่คุณนั้นจะได้มองเห็นรอยยิ้มหวานๆจากเธอแล้วก็อาจจะเป็นใบหน้าที่เคร่งเครียดด้วยความโกรธแทนก็ได้

นอกจากนี้แล้วพวกเธอนั้นก็จะคิดเอาวว่าคุณนั้นจะนำเอาความโชคร้ายนั้นมายื่นให้กับเธอและแทนที่จะเป็นความในใจที่สุดแสนหวานไปซะนี่ ดังนั้นในการที่จะมอบดอกไม้ทางด้านวัฒนธรรมทางด้านตะวันตกส่วนใหญ่นั้นได้มีการนิยอมได้ให้กันเป็นเลขคู่

ซึ่งมันจะเป็นการโชคดีและเป็นการที่ได้นำเอาความสุขนั้นมาให้แต่สำหรับด้านประเพณีของชนชาติประเทศรัสเซียแล้วและเลขคุ่นั้นจะถือได้ว่าเป็นเลขแห่งสัญลักษณ์ในความโชคร้ายและความเสียใจความตายนอกจากนี้ดอดไม้สีขาวเองนั้นต่าง

ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมเนื่องจากเพราะมันได้เป็นดอกไม้ของงานศพและได้เป็นที่ระลึกของผู้ที่ล้วงลับไปแล้วดังนั้นหากคุณนั้นไม่อยากถูกสาวๆหันหน้าหนีล่ะก็อย่าลืมหลีกเลี่ยงละสีของดอกไม้นั้นให้ดีๆอีกด้วยละ

อาถรรพ์เครือเขาหลง

สำหรับการเดินป่าที่มันเต็มไปด้วยความอาถรรพ์มักจะเจอกับเรื่องที่มันแปลกๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในทุกครุังเมื่อในมีบางสิ่งที่มันได้เข้าใกล้มาถึงที่ตัวเราก็จะรู้ตัวในทันที แต่มันก็ได้มีอาถรรพ์บางอย่างเหมือนกันที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราโดยที่เรานั้นไม่รู้ตัวกว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว

นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องยากที่จะหลุมพ้นจากบวงอาพรรถ์อีกด้วยและสิ่งอาถรรพ์ที่เราอยากจะนำเอามาพูดในวันนี้ก็คือ 

เครือเขหลงซึ่งได้เป็นเรื่อราวที่ได้เล่าต่อกันมายาวนานในหมู่นักล่องไพรพรานผู้ที่ผ่านการเดินป่ามาอย่างช้านานส่วนใหญ่นั้นต่างก็เคยเจอกับอิฐฤทธิ์ของเครืออาถรรพ์ชนิดนี้มาด้วยกันทั้งนั้น สำหรับด้านเครือเขาหลงนั้นมันเป็นพันธุ์พืชไม้ชนิดหนึ่งที่จะไม่ค่อยพบเห็นเพราะมันจะอยู่ในป่าลึกและยังมีความเชื่อกันอีกว่ามันเป็นพันธุ์พืชที่ได้ถูก

ซึ่งไม้ชนิดนี้มมันจะมีความคลั่งไปกว่าพืชไม้อื่นๆและถ้ามีใครเพลิอไปเดินข้ามมันก็จะหลงเดินอยู่ท่ามกลางป่าจะไม่มีทางออกให้เห็น จนกว่าจะมีการขอขมาลาโทษหรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีคนเขามาช่วยหรือแม้กระทั่งนกหากได้มีการบินข้ามต้นเครือเขาหลงมันก็จะบินหลงอยู่ในนั้นจนกว่ามันจะตาย ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมถึงสัตว์ป่าเป็นจำนวนมากที่จะต้องเสียชีวิตให้กับเครืออาถรรพ์นี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ทำให้คนที่มีคาถาอาคมเก่งกล้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยต่างก็ได้พากันเข้าไปตัดนำเอามาเป็นเครื่องราง สำหรับเครือเขาหลงนั้นมันได้เป็นพืชที่ล้มลุกที่มันจะมีอายุอยู่ได้นานนับสิบปี ทั้งนี้จากลักษณะที่จะมองสังเกตุมันได้อย่างง่ายๆเลย

ก็คือจะมีลักษณะใบเดียวที่เป็นรูปวงรีเรียงสลับกันไปมาลักษณะปลายใบนั้นจะมีใบแหลมขึ้นอยู่ห่างๆทั้งนี้จะมีดอกเป็นสีม่วงมีกรีบเอาไว้ลองดอกประมาณห้ากรีบ รวมตัวกันเป็นรูประฆังคว่ำส่วนผลทรงกลมขนาดประมาณ1เซนติเมตรมีสีแดงเข้มไปจนถึงดำ

ทั้งนี้สำหรับเครือเขาหลงแล้วจะมีทั้งตัวผู้และตัวเมียโดยตัวผู้นั้นจะมีสีดำส่วนตัวเมียนั้นจะมีสีน้ำตาลและนี่มันก็เป็นลักษณะของเครือเขาหลง หากว่าใครที่มีการพบเห็นอยู่ในป่าก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงจะเป็นการดีมากที่สุดทั้งนี้ยังได้มีสิ่งที่มันดูเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนที่เป็นเครือไม้นั้นจะม้วลตัวตามธรรมชาติเป็นรูปบ่วงจะเรียกกันในหมู่ผู้ที่มีไสยเวทย์ว่าบ่วงนาคบาศ

สื่อของผู้นำของเกาหลีเหนือ

ใครต่อใครต่างก็ได้รู้จักนายคิมจองอิลที่เมื่อก่อนนั้นได้เป็นผู้นำที่สูงที่สุดในประเทศเกาหลีเหนือที่หลายๆคนนั้นก็จะได้เห็นนายคิมจองอิลนั้นได้ออกในตามของสื่อต่างๆที่ได้มีนายคิมจองอิล ซึ้งในวันนี้เราจะพูดเรื่องจริงที่ได้เกี่ยวพันกับนายกคนปัจจุบันของนายคิมจองอึนที่ได้เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในปัจจุบันนี้

นอกจากนี้ยังได้มีข่าวที่ออกมาอย่างโด่งดังเหมือนกันกับกรณีของนาย ยองยองซอ อดีตรัฐมนตรีของเกาหลีเหนือที่เขานั้นได้ถูกลงโทษด้วยการยิงถึงแก่ความตายด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเผลอ หลับในพิธีสวนสนามของเกาหลีเหนือและยังได้มีการกล่าวกันอีกว่าในการเผลอ หลับหรือปรบมือไปพร้อมกันกับคนในพิธี

ก็จะถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงอีกอย่างหนึ่งแต่ทว่าในพิธีการลำรึกในการจากไปของในอดีตของผู้นำอย่างนายคิมอูซอยที่เป็นปู่แท้ของนายคิมจองอึนก็ได้มีการจับภาพได้ว่าคิมจองอึนนั้นเหมือนจะหลับในพิธีและเขาก็ได้มีการฝืนความง่วงได้อย่างเห็นได้ชัด

บางจังหวะที่ตาของเขาก็เริ่มที่จะตี่ลงแทบจะปิดสนิดอีกทั้งในช่วงของการปรบมือตัวเขาเองก็ยังไม่ปรบพร้อมกับคนอื่นๆเลย ซึ่งในอาการแบบนี้เข้าข่ายมีความผิดและอาจจะต้องถูกรับโทษแต่สุดท้ายก็คาดว่าคิมจองอึนนั้นไม่น่าจะได้รับโทษแต่อย่างใด

พี่ชายต่างมารดา

ในช่วงต้นปีของ2017นั้นนายคิมจองนัมพี่ชายต่างมารดาของคิมจองอึนได้ถูกรอบสังหารที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลย์เซียโดยเขานั้นได้ถูกหญิงสาวคนหนึ่งได้ใช้ผ้าแอบยาพิษแป๊ะไปที่ใบหน้าของเขาจากนั้นตัวเขานั้นก็เริ่มมีอาการจนต้องขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่และเสียชีวิตในระหว่างการเดินทาง

ซึ่งสื่อในตอนนั้นต่างก็ได้มีการคาดการว่านายคิมจองอึนนั้นน่าจะเป็นคนสั่งฆ่าพี่ชายที่ต่างมารดาคนนี้ ซึ่งต่อมาได้ภายหลังก็ได้มีการเปิดเผยจากสื่อใหญ่อย่างในวอชิงตันได้โพสว่าแท้จริงแล้ว คิมจองนัม นั้นเป็นสายขาวให้กับเจ้าหน้าที่CIAของสหรัฐอเมริกาเขาได้คอยให้ข้อมูลลับจากทางCIAมาโดยตลอด

แต่จะมีการนัดเจอกันที่สิงค์โปรหรือไม่ก็มาเลย์เซีย ซึ่งในการทำแบบนี้ถือว่าเป็นการทำที่มีความผิดอย่างร้ายแรงและยังเป็นการทรยศของเกาหลีเหนืออีกด้วย ซึ่งในกรณีนี้แม้ทางCIAและเจ้าหน้าของเกาหลีเหนือได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงแต่มันก็ยังเป็นที่ติดใหญ่ของคนส่วนใหญ่อยู่ดี

วีระบุรุษสงครามผู้ยิ่งใหญ่ทหารรับใช้ชาติ

Hiroo Onoda

ส่วนในเรื่องนี้ก็ได้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่น่าเหลือเชื่อที่มีชายคนหนึ่งได้มีการต่อสู้ต่อประเทศตนเองอย่างสุดความสามารถตลอดระยะเวลา29ปีเนื่องมาจากคำสั่งของหัวหน้าว่าจะมารับตัวหากว่าเอาความสามารถที่จะเอาชัยชนะจากสงครามเสร็จสิ้น

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองและในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ได้เกิดมาจากเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นกับทางทหารญี่ปุ่นวิระบุรุษสงครามย่อมไม่ยอมแพ้เขาได้มีนามว่าHiroo Onoda ชาวญี่ปุ่นที่ได้ประกอบอาชีพเป็นพนังงานบริษัทค้าขายอยู่ในประเทศจีนเขานั้น

ได้ถูกเรียกกับและได้เกณฑ์เข้าร่วมกับกองทัพประเทศญี่ปุ่นเขานั้นได้รีบลาออกและได้รีบกลับไปยังประเทศของเขาโดยทันทีเพื่อได้รับการฝึกในหน่วยข่าวกองของกองทัพและการฝึกอบรมพิเศษในทางทหารในยุทธวิถีในการรบแบบกองโจรก่อนที่จะถูกส่งตัวไปประจำการที่หน่วยเล็กๆหลังได้เริ่มมีแนวรบของข้าศึกที่บนเกาะรูปังของประเทศฟิลิปปินส์

ในประมาณเดือนธันวาคมในปี1944เขานั้นได้รับคำสั่งมาจากผู้บันชาการให้ไปก่อกวนกองกำลังข้าศึกให้ได้มากที่สุดรวมไปถึงการทำลายท่าเรือสนามบินของศัตรูและในที่สำคัญนั้นในภาระกิจนี้คุณห้ามฆ่าตัวตายเป็นอันขาดเพราะมันอาจจะต้องใช้เวลา3/5ปีในการอยู่ในป่าบนเกาะแห่งนี้

แต่อย่างไรก็ตามเราจะกลับมาหาคุณตราบใดที่ยังคงเหลือทหารอยู่คุณก็จะต้องกายเป็นผู้นำในการรบต่อไปนี่มันคือคำสั่งที่เขานั้นได้รับคำสั่งมาในวันนั้นแต่เพียงหลังจาก3เดือนที่ทหารญี่ปุ่นได้ก่อกวนในแบบกองโจรในป่าทางด้านกองทัพฝ่ายพันธมิตรก็สามารถที่จะยึดเกาะส่วนใหญ่เอามาได้เอามาไว้ในครอบครองมาได้เกือบทั้งหมด

จึงทำให้เหล่าทหารญี่ปุ่นที่ได้หลงเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่คนต่างก็ได้หลบหนีเข้าไปในป่าลึกแต่ก็ยังไม่หยุดเขายังได้เข้ามาก่อกวนอย่างไม่หยุดอยู่เรื่อยมาๆและในเดือนตุลาคมในปีประมาณ1945นั้นทางด้านของทหารประเทศญี่ปุ่นที่ยังหลงเหลือและยังมีชีวิตอยู่นั้นพวกเขาก้ได้ออกมาจากป่าและได้หาอาหารจากนั้นพวกเขาก็ได้พบกับป้ายที่ได้ถูกติดเอาไว้

ซึ่งโดยป้ายนั้นได้เขียนเอาว่าสงครามได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อในวันที่15สิงหาคมที่ผ่านมาและได้ออกมาจากป่าได้แล้วโดยที่เขานั้นก็ได้นำเอาข้อความดังกล่าวเอามาแจ้งกับทางการทหารกับเพื่อนคนอื่นๆแต่ก็กลายเป็นว่าทหารที่เหลืออยู่ต่างก็ได้ลงความเห็นเอาไว้ว่านี่มันอาจจะเป็นป้ายที่ชวนเชื่อของฝ่ายพันธมิตรเพื่อหลอกล่อให้ชาวเขานั้นออกไปและยังเชื่อว่าญี่ปุ่นนั้นไม่มีทางที่จะแพ้ได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นแน่นอน

 

สนับสนุนโดย  entaplay

ตำนานนางเงือกเขมร

มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า นางกระเดิบดง อาศัยอยู่กับแม่ตามลำพัง อยู่มาวันหนึ่งแม่ของนางกระเดิบดง ได้ออกไปหาหน่อไม้อยู่ในป่า  ปล่อยให้นางกระเดิบดง อยู่เพียงลำพังที่บ้าน

ในขณะที่แม่ของนางกระเดิบดง กำลังหาหน่อไม้อยู่นั้น นางทำหัวเสียบตกลงไปในหลุ่มของก่อไผ่ ซึ่งนางหาวิธีเอาหัวเสียลออกจากหลุ่มตั้งแต่เช้ายันเย็นก็เอาออกไม่ได้ นางจึงได้อธิฐานว่าหากใครช่วยให้นางเอาหัวเสียบออกมาได้

นางจะยกลูกสาวให้ หลังจากนั้นก็มีงูตัวใหญ่คาบหัวเสียบแล้วนำมามาวางเอาไว้ให้กับแม่ของนางกระเดิบดง แม่ของนางกระเดิบดงรับเสียมมาแล้วก็บอกให้งูเลยตามมาภายหลัง โดยนางจะทำสัญลักษณ์ด้วยการปลอกหน่อไม้วางไว้เป็นทางจนกว่าจะถึงบ้านพักเอาไว้ให้

และเมื่อนางเดินทางมาถึงบ้านพักนางก็เล่าให้กับลูกสาวฟังถึงสิ่งที่นางได้ไปสัญญากับพญางูเอาไว้ ถึงแม้ว่านางกระเดิบดงจะกลัว แต่ก็รักษาสัญญาที่แม่ได้ให้ไว้กับงู ด้วยการยอมแต่งงานกับงู 

เมื่อพญางูเดินทางมาถึง เขาก็ได้กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งแท้จริงแล้ว งูตัวนั้นเป็นเทพ แปลงกายมาลองใจแม่และนางกระเดิบดง หลังจากนั้นฐานะทางบ้านของนางกระเดิบดง ก็มีฐานะร่ำรวย จนชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นต่างพากันอิจฉา  มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาถามแม่ของนางกระเดิบดง ถึงสาเหตุของความร่ำรวยในครั้งนี้

ซึ่งแม่ของนางกระเดิบดงก็ไม่ได้ปิดบังจึงเล่าให้ฟังหมดทุกอย่าง หลังจากนั้นหญิงคนนั้นก็เอาเสียมไปหาหน่อไม้อย่างที่แม่ของนางกระเดิบดงทำ  และมีการเอาเสียมไปใส่ไว้ในหลุมที่แม่ของนางกระเดิบดงเคยทำ หลังจากนั้นก็ร้องเรียกให้คนมาช่วยเอาเสียมออกให้แต่เรียกทั้งวันก็ไม่มีใครมาช่วย

หลังจากนั้นก็มีพญางูออกมา บอกว่าจะช่วยเอาเสียมมาให้ นางดีใจมากบอกกับงูว่าจะยกลูกสาวให้ และยัง บอกให้งูคาบเสียมตามมาที่บ้านและจะทำสัญลักษณ์บอกทางเอาไว้ให้หลังจากนั้นก็วิ่งกลับบ้านไปบอกให้ลูกสาวเตรียมตัวแต่งงานกับงู 

เมื่องูมาถึงนางก็เปิดประตูให้งูเข้าไปในห้องนอนของถูกสาวและปิดประตู ซึ่งลูกสาวก็ได้ตะโกนร้องบอกแม่ว่างูกำลังจะกลืนตัวเองแต่ผู้เป็นแม่กับคิดว่าดูได้กลายร่างเป็นคนและกำลังหยอกล้ออยู่กับลูกสาวของตนเองเล่นจึงไม่ได้สนใจอะไร

จนรุ่งเช้าเมื่อนางเข้าไปดูจึงพบว่างูใหญ่ได้กินลูกสาวของเธอเข้าไปแล้ว ชาวบ้านจึงได้พากันฆ่างูและผ่าท้องงูแล้วช่วยหญิงสาวออกมา 

เรื่องของหญิงสาวที่งูถูกงูกินอับอายคนอื่นทั้งหมู่บ้าน นางจึงได้เดินทางออกจากบ้านโดยอ้างกับแม่ว่าจะไปอาบน้ำที่หนองน้ำเพื่อที่จะล้างตัวเอาเมือกงูออก และนางก็เดินทางมาถึงมหาสมุทรแล้วนางก็เดินลงไปในทะเล และเมื่อนางลงน้ำร่างกายก็กลับกลายไปเป็นเงือกและนางก็มุดน้ำหนีไปไม่กลับขึ้นมาบนฝั่งอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  bk8

ปิดฉากจอมโจรผู้เป็นที่รักของประชาชน

จอห์น ดิลลิงเจอร์ สุภาพบุรษจอมโจร

John Dillinger หัวหน้าแก๊งโจรปล้นธนาคารที่ได้มีความโด่งดังที่สุดในเขตรัฐโอไฮโอและอินเดียน่าในช่วงทศวรรษที่1930แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ได้มีผู้คนนั้นได้ชื่นชอบ John Dillinger เพราะเขาไม่ใช่คนที่ได้สร้างประโยชน์ใดๆให้กับทางสังคม

แต่มันกลับตรงกันข้ามเพราะเขานั้นได้เป็นจอมวายร้ายเป็นโจรที่ทางเจ้าหน้ารัฐที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งแต่ประชาชนนั้นต่างก็รักไข้เขาเพราะในยุคที่ทางด้านเศรษฐกิจได้ตกต่ำจนทำให้ผู้คนนั้นได้เดือดร้อนและไร้ซึ่งในความหวังกันในทุกย่อมหญ้าเหล่าพวกนายทนาคารและชนชั้นสูงทางสังคมได้เป็นพวกที่ได้ถูกมองว่ายังได้มีความเป็นอยู่อย่างอู้ฟู

และยังคงความร่ำรวยเอาไว้เสมอบนซากปะรักหักพังดังนั้นด้านจอมโจรที่ได้เข้ามาสร้างความฮือฮ่าได้การปล้นธนาคารจึงได้กลายมาเป็นวีระบุรุษจนทำให้เขานั้นได้รับฉายาว่าเป็นโรบินฮูดในยุคใหม่จนได้มีการติดประกาสจับและได้ให้ราคาค่าหัวและนั่นก็นำไปซึ่งด้วยความจุดจบวีระบุรุษจอมโจร

แม่เร้าชาวโรมาเนียแอนนาเช็คผู้ที่มีคดีได้เข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมายก็ได้ตัดสินใจแจ้งเบาะแสให้กับตำรวจเพื่อแลกกับการได้อยู่ในชิคาโก้ต่อและด้านแม่เร้าคนนี้ได้รู้ดีว่าโสเพนีคนหนึ่งของเขากำลังจะได้เป็นหวานใจคนใหม่ของจอน ดิเรนเจอแลได้มีนัด

เพื่อจะได้ไปดูหนังด้วยกันและเมื่อเธอนั้นได้นำเอาความับนี้ได้แจ้งกับทางFBIก็ได้มีแผนการที่จะเพรียมจับกุมอย่างทันทีในวันที่22 เดือนกรกฎาคม ในปี1934 ทางด้านของหน่วยFBI ก็ได้ปล่อยให้เขานั้นได้ไปดูหนังจากนั้นก็ได้จัดตั้งทีมล้อมเตรียมการที่จะจับกุมอย่างทันทีที่หนังฉายจบเมื่อจอนดิเรนเจอก็ได้มองเห็นในการเคลื่อนนไหวของทางการตำรวจเขาก็ได้รีบควักเอาปืนออกมาก่อนที่ตัวเขานั้นจะรีบวิ่งหนีออกไป

จากนั้นเขาก็หนีไม่พ้นอยู่ดีด้านจอนดิเรนเจอก็ได้ถูกทางการหน่วยของFBIก็เข้าไปด้วยกันประมาณ5นัดจนทำให้เขานั้นได้ล้มลงกับพื้นจากนั้นเขาก็ได้เสียชีวิตลงสิ้นชีพลงด้วยวัยแค่เพียง31ปีเศษจากนั้นก็ได้ทิ้งตำนานสุภาพบุรุษจอมโจงเอาไว้อยู่เบี้ยงหลัง

จนทำให้ชื่อเสียงของเขานั้นยังคงอยู่กับประชาชนที่ยังรักไข้เขาอยู่ด้วยความที่เขานั้นได้เป็นวีระบุรุษในช่วงที่เศรษฐกิจในการเมืองนั้นตกต่ำลงจากนั้นแม่หญิงสาวโสเพนีคนนั้นก็ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองชิคาโก้ต่อไป

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  sagame

ชนเผ่าหวงอาณาเขตมากที่สุดในประเทศเอธิโอเปีย

Mashco-Piro Tribe

ชนเผ่า Mashco-Piro Tribe ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติมานูอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของของประเทศเปรูซึ่งได้เป็นชนเผ่าที่แถบจะไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกหรือจะให้พูดอีกแนวหนึ่งก็คือตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างที่มนุษย์คนเราเป็นอยู่ในปัจจุบันโดยที่ชนเผ่าพื้นเมืองนี้ยังคงได้ใช้ชีวิตตามวิถีชีวิต

และด้านประเพณีวัฒนธรรมแบบดั่งเดิมที่บรรพบุรุษนั้นได้สืบต่อกันมาสำหรับในการแต่งกายนั้นก็ยังจะใช้เศษวัตดุที่ทำขึ้นมาจากไม้หรือชิ้นส่วนฟันของสัตว์ป่าและจะยิ่งไปกว่านั้นสำหรับในการที่จะสื่อสารกันและกันยังคงจะใช้สัญญาณ

เพื่อเป็นการบอกรหัสกันอยู่แต่ในเมื่อปี2011ก็ได้เกิดเหตุการที่น่าเศร้าเกิดขึ้น เนื่องจาก นิโคลัส ชาโค ฟลอเรส ได้เป็นนักโบราณคดีซึ่งได้มีความสามารถที่จะสื่อสารกับชนเผ่าเหล่านี้ได้ แต่กลับโดนธนูยิงเข้าไปที่หน้าอกของเขาจนทำให้เสียชีวิตและจากที่จะพยายามที่จะเข้าไปข้างในป่าที่จะไปศึกษาในความเป็นอยู่ในชีวิตของชนเผ่าและได้คาดกันว่ามันอาจจะเป็น

เพราะเขาที่ได้ถึงอาวุธขนาดใหญ่และหม้อนำเอาเข้าไปด้วยจากนั้นจึงได้เกิดการแยกกชิงจากคนในชนเผ่าเพราะจากของทั้งสองสิ่งนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งของที่มีค่าของผู้คนที่อยู่อาศัยในชนเผ่านี้และสำหรับในการที่เขานั้นได้เสียชีวิตลงจึงทำให้การศึกษาของพวกเขาคในชนเผ่านี้เพ่มยากความลำบากมากขึ้นไปอีก

Mursi Tribe 

ในเขตประเทศเอธิโอเปียได้มีชนเผ่าต่างๆเกิดขึ้นมากมายและด้านชนเผ่า Mursi Tribe ก็ๆด้เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันด้านผู้ชายชาว Mursi Tribe จะมีพิธีต่อสู้กันลัส่วยผู้หญิงชาว Mursi Tribe นั้นจะเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกจากการที่จะต้องใส่ถาดเอาไว้ที่ริมฝีปากล่างและจึงมีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า ชนเผ่าปากกว้างสำหรับห่วงที่อยู่ด้านล่างบริเวณที่ริมฝีปากได้บ่งบอกถึงในความสวยงาม

และโดยค่านิยมของชนเผ่านั้นได้เชื่อว่าสาวคนไหนที่สามารถใช่ห่วงที่มีขนาดใหญ่นั่นก็คือว่าจะต้องเป็นสาวที่จะต้องมีความอดทนต่อการใช้ชีวิตดีมากๆจนเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้ชายในเผ่ามักจะเลือกคู่ครองผู้หญิงที่ใส่ห่วงขนาดใหญ่นอกจากนี้ในการใส่ห่วงนั้นจะช่วยป้องกันถูกจับไปเป็นทาสได้ด้วยนอกจากเพราะไม่มีใครที่อยากจะจับคนที่มีริมฝีปากกว้างผิดปกตินั่นเอง

Mursi Tribe นี้ยังชีพด้วยการพึ้งพาอาศัยจากธรรมชาติด้วยการเกษตรอยู่อาศัยไม่เป็นที่และย้ายไปอย่างต่อเนื่องเมื่อพื้นที่เพราะปลูกไม่สมบูรณ์ก็จะย้ายถิ่นฐานพวกเขาจะนำกิ่งไม้เศษหญ้าที่หามาได้ทำเป็นกระโจมเพื่ออยู่อาศัยและชาว Mursi Tribe จะหวงพื้นที่เขตแดนของตนมากกว่าชนเผ่าอื่นๆในเอธิโอเปีย

ชนเผ่าที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากโลกภายนอก

ถึงแม้ว่าบนโลกของเรานั้นต่างก็ได้มีความก้าวหน้าขึ้นมากทุกวันและยังได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยังคงที่จะปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีชนเผ่าที่ยังอาศันอยู่ในพื้นป่าที่ห่างไกลอีกทั้งยังใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังโดยที่พวกเขานั้นจะไม่พึ่งจากการช่วยเหลือจากโลกภายนอกเป็นอันขาดแต่จะเป็นอย่างไรนั้นมาชมกันเลย

ชนเผ่าKorubo Tribe 

ชนเผ่า Korubo Tribe ได้เป็นชนพื้นเมืองในประเทศบราซิลที่ได้พักอาศัยกันอยู่ในแถบทางตะวันตกของลุ่มแม่นน้ำอเมซอนได้อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มและได้มีประชากรอาศัยอยู่ราวประมาณ200คน อยู่ในพื้นป่าลึกโดยจะมีอาวุธเป็นหอกและลูกดอกที่อาบยาพิษที่เอาไว้ใช้ในการล่าสัตว์และไว้ใช้สำหรับป้องกันตัวและได้มีการสร้างกระท้อมเอาไว้ใช้เป็นที่พักที่อยู่อาศัย

แต่ก็ไม่มีพิธีกรรด้านทางศาสนาที่ได้ทำร่วมกันนอกจากนี้ยังได้มีการทาสีแดงตามลำตัวซึ่งมันได้เป็นสีของดอกไม้ของต้นคำแสดที่จะมีอยู่ทั่วไปในอเมริกาใต้และในส่วนอาหารหลักของพวกเขานั้นก็คือหมู่ป่านกไก่ป่าและผลไม้ป่าทั่วไปที่มีอยู่ในพื้นที่

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในการพบกันครั้งแรกของชาว Korubo Tribe กับคนที่อยู่ยังโลกภายนอกได้เกิดขึ้นภายในปี1972 ยังได้มีคนมาช่วยเหลือจากชนเผ่าต่างๆในบราซิลได้ถูกทำร้ายจนได้รับการเสียชีวิตไปทั้งสิ้นประมาณ7รายหลังที่กำลังจะพยายามที่จะเข้าไปที่อย่างจะเชื่อมความสัมผัสกับชนเผ่าชาว โครูโบ จนในกระทั่งในปี1996 นั้น

ได้เป็นครั้งสุดท้ายที่คนในชนเผ่าทำร้ายมนุษย์จากโลกภายนอกหลังจากที่นักสำรวจและนักอนุรักษ์ก็ได้ออกมาเพื่อรณรงค์เพื่อจะไม่ให้เข้ามาคุกคามชนเผ่าเหล่านี้อีกจากนั้นเมื่อไม่นานมาทางาวชนเผ่าของโครูโบก็ได้แยกออกมาเป็นสองกลุ่มนั่นก็คือคนกลุ่มใหญ่ก็ได้หลบเข้าไปข้างในป่าที่มีความลึกไปจากเดิมหลังจากที่ได้พบกับมนุษย์จากโลกภายนอกอีกทั้งยังได้รู้สึกด้วยว่าจะมีภัยที่จะสามารถที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้นได้

ในส่วนกลุ่มที่สองนั้นก็จะมีขนาดที่เล็กกว่าและคนที่ได้อาศัยอยู่ในกลุ่มที่สองนี้ก็ได้ยอดรับในความช่วยเหลือจากประเทศบราซิลแต่อย่างไรก็ยังคงเลือกที่จะอาศัยพักอยู่ในบ้านตามวิถีชีวิตดั่งเดิมของพวกเขาและซึ่งในยุคปัจจุบันนี้ในชนเผ่าของกลุ่มใหญ่ก็ยังเลือกที่จะทำร้ายจากคนที่อยู่ภายนอกที่บุกรุกเข้าไปยังอาณาเขตของพวกเขาอยู่ตลอด

การเกิดปฏิการณ์นิวเคลียร์ที่ไม่เสถียรจริงหรือไม่?

 

แกรด์แคนยอนเกิดจากแม่น้ำโคโลราโด แต่เห็นได้ชัดเจนว่าวาลเลสมารีนาริสไม่ได้เจอจากการกัดเซาะของน้ำแต่อย่าใดทฤษฏีวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อ บอกว่าร่องอาจเป็ฯผลจากกิจกรรมภูเขาไฟรวมกับการขยับของแผ่นเปลือกโลกอย่างไรก็ตาม วิศกร ราล์ฟ เจอร์เกนส์ แย้งในบทความปี1974 ออฟเดอะมูนแอนด์มาร์สว่าลักษณะทางธรณีวิทยาของวาลเลส มารีนาริสไม่มีร่องรอยของการฉีกขาดและพลิกอย่างที่มักพบในการชยับของภูเขาไฟแต่มันเหมือนโดนแกะ เจอร์เกนส์เสนอว่าลักษณะคล้ายกับรอยที่เหลือจากการปล่อยกระแสไฟฟ้าตามทฤษฏีของเขา พื้นที่ถูกผ่าด้วยสายฟ้าอวกาศอย่างแรงเจาะภูมิประเทศ

ขณะที่มันขยับไปตามพื้นผิวระเบิดวัตถุออกสู่อวกาศเราไม่เห็นเรื่องแบบนี้จากภูเขาไฟหรือว่าแผ่นดินไหวหรือว่าเหตุการณ์ธรรมชาติชนิดอื่นตัวลักษณะเองคล้ายคลึงกับการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่เราทำหลายอย่างแต่สายฟ้าอวกาศเป็นตัวการให้เกิดรอยแยกใหญ่บนดาวอังคารได้หรือไม่ถ้าได้มันเกิดจากธรรมชาติหรือการโจมตีเมื่อเรามองดูดาวอังคารรอนแผลนั่นดูเหมือนมาจากกระแสไฟขนาดใหญ่บางอย่างในเอกสารปี2014ที่พิมพ์โนวารสารจักรวาลวิทยานักฟิสิกส์ ด็อกเตอร์จอห์น แบรนเดนเบิร์กนำเสนอการค้นพบที่ชี้ว่า บางคนหรือบางอย่างกวาดล้างชีวิตบนดาวอังคารด้วยระเบิดนิวเคลียร์ครั้งใหญ่แบรนเดนเบิร์กกล่าวว่ามีการพุ่งสูงของก๊าซซีนอน129ในชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร

ซีนอน129เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่รุนแรงมากตอนแรกผมเสนอคำอธิบายว่านี่เป็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ธรรมชาติที่เกิดไม่เสถียรยังไงก็ตาม เมื่อผมคุยกับนักวิทยาศาสตร์เพิ่มพวกเขาบอกว่า นั่นไม่ใช่สเปกตรัมของซีนอนแต่มันเป็นร่องรอยของอาวุธมันไม่ได้มาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ธรรมชาติแบบไหนทั้งนั้นรูปแบบของการแผ่รังสีบนผิวดาวอังคารชี้ว่ามีรูปแบบเศษฝุ่นทั่วโลกจากจุดแผ่รังสีแรง 2 จุดในตอนเหนือของดาวอังคารและกระจายตัวไปทั่วดาวเคราะห์พื้นที่กัมมันตภาพรังสีที่เหลืออยู่ปกคลุมด้วยแก้วแก้วที่โดนกรดกัดแบบเดียวกับที่พบในจุดทดลองนิวเคลียร์มันเรียกว่า ไทรนิไทต์

ดังนั้น พื้นผิวของดาวอังคารหลายพันตารางเมตร ถูกเปลี่ยนเป็นแก้วใครบางคนทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ขนาดใหญ่บนดาวอังคารให้ระเบิดกลางอังคารไม่มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติไหนที่ให้ข้อมูลนิวเคลียร์นี้ได้ดังนั้นเราต้องไปดาวอังคารเราต้องไปหาให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นมีร่องรอนบอกชัดถึงการาจงใจทำลายล้างบนดาวอังคารหรือไม่ถ้ามีผู้รอดชีวิตบางคนอาจมาถึงโลกได้ไหมบางทีหลักฐานเพิ่มเติมอาจหาได้จากการสำรวจภูมิประเทศของดาวอังคารและโครงสร้างลึกลลับบางอย่างงที่บางคนบอกว่าเป็นศิลปวัตถุต่างดาว