ประเทศที่มีประชากรน้อยมาที่สุดและยังเป็นรัฐอิสระด้วย

ประเทศที่มีประชากรน้อยมาที่สุดและยังมีขนาดพื้นที่เล็กน้อยมากกว่าประเทศอื่นและโดยประเทศส่วนมาที่เรานั้นจะเคยได้ยินกันในตามแหล่งข่าวก็จะมีประชากรอย่างน้อยเป็นล้านคนแต่ทุกคนก็ยังไม่เคยรู้อีกว่าบนโลกใบนี้ของเราก็ยังมีอีกหลายประเทศที่มีประชากรเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง

HUTT RIVER ฮัตต์ฮัทท์ริเวอร์ ฆณ์ฮ เขตปกครองตนเอง

HUTT RIVER มันมีพื้นที่29ตาตะรางไมล์ หรือคิดเป็น 75ตารางกิโลเมตรมีประชากร30คนเขตปกครองตนเอง HUTT RIVER ดินแดนแห่งนี้เรียกได้ว่าไมโครเนชั่น ซึ่งเป็นสถานที่ทที่ชื่ออยู่ในจังหวัดเดียวกันในประเทศออสเตรียมันถูกก่อตั้งโดย  Leonard Casley เป็นผู้ที่ได้ประกาสว่าฟามของเขาเป็นรัฐอิสระที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นและเป็นอิสระจากการปกครองของออสเตรีย

และถึงแม้ว่าประเทศนี้จะไม่ๆได้รับการยอดรับจากนานาชาติว่าเป็นประเทศหรือรัฐอิสระก็ตามแต่ดินแดนแห่งนี้กับมาสกุลเงินเป็นของตัวเองรวมทั้งแสตมป์และพาสปอร์ต ซึ่งเองไว้ใช้ในประเทศตนเองอีกด้วยโดยในพื้นที่ส่วนต่างๆในอาณาเขตแห่งนี้และนักท่องเที่ยวที่ได้ผ่านเข้ามาก็จะเห็นรูปปั่นแกะสลัดครึ่งตัวของเจ้าชาย Leonard Casley ซึ่งสามารถที่จะพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองแห่งนี้อีกด้วย

Tuvalu ตูวาลู 

ขนาดพื้นที่10ตารางไมล์ หรือจะคิดเป็นประมาณ 426ตารางกิโลเมตรและได้มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ10,959คน ตูวาลูเป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดและยาจกมากที่สุดในโลกในความที่ประเทศเป็นประเทศที่ยากจนจึงได้ทำให้ขาดงบประมาณในการสร้างสาธารณูปโภคที่เหมาะสมจึงได้ทำให้ประเทศแห่งนี้ไม่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างมากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้

จึงอยู่กับการหารายได้ผ่านการให้เช่าโดเมน อินเตอร์เน็ตที่ชื่อว่า .tv ซึ่งโดเมนนี้สามารถที่จะทำรายได้ให้กับประเทศหลายล้านดอลลาร์ต่อปีกันเลยทีเดียว

Nauru นาอูรู

มีขนาดพื้นที่8.1ตารางไมล์ หรือจะคิดเป็น21ตารางกิโลเมตรและมีประชากรอาศัยอยู่9591คน นาอูรู เป็นสาธารณรัฐอิสระที่เล็กที่สุดและได้เป็นประเทศที่มีเกาะเล็กมากที่สสุดในโลกแต่ก็ต้องของบอกกันก่อนเลยว่าประเทศที่นี่นั้นไม่มีเมืองหลวงและที่สำคัญประเทศแห่งนี้ก็ยังไม่มีระบบที่จะขนส่งสาธารณะจึงได้ทำให้ประชากรส่วนใหญ่จะมียานพาหนะส่วนตัวไว้ใข้เป็นของตนเอง

เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในการเดินทางไปบนถนน ซึ่งถนนก็จะมีระยะเพียง25ไมล์เท่านั้นและด้วยปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมจึงได้ทำให้ที่นี่นั้นมันจึงได้กลายมาเป็นไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวในสถานที่ที่นิยมที่นักท่องเที่ยวต้องการจะมาและอีกทั้งประชากรที่นี่กว่า70%ยังเป็นโลกอ้วนอีกด้วย

 

สนับสนุนโดย  next88

คามิน เลิศชัยประเสริฐ

ศิลปะนั้นมันไกล้กับความเป็นชีวิตมากที่สุดมันขยายขอบเขตในการที่เรานั้นจะอธิบายความจริงได้ไกล้เคียงกว่าภาษาพูดภาษาเขียนมันไม่ใช่วันเวย์ ไดอาร็อคพอมันได้ทำออกไปมันได้เกิดประสบการณ์ร่วมคนทำศิลปินก็ได้เสนอความคิดตรงนี้

แต่คนดูก็อาจจะคิดไม่เหมือนกบศิลปินก็ได้ซึ่งตรงนี้มันได้ไกง้ความจริงที่สุดเพราะอะไรเพราะมันไม่ได้เป็นทัศนคติแบบครอบงำในตอนวัยเด็กเราก้อาจจะเป็นเด็กเกเรเรียนหนังสือไม่เก่งเรียนได้ที่โร่ตลอดก็ทำอะไรไม่เป็นก็ได้เป็นวาดรูปก็เลยไปเข้ารวมช่างศิลป์พอเราเรียนศิลปะเราก็จะทำความเข้าใจว่าศิลปะมันคืออะไร

หรือว่าเราทำไปทำไมค้นหาไปเรื่อยๆจนหลังๆมาว่าเราเริ่มเข้าใจว่ามันไม่ได้เป็นแค่อาชีพอย่างเดียวแต่มันเป็นชีวิตของเราเลยมันทำให้ชีวิตเรามีความหมายเราก็เลนทุมเทกับมันเพื่อที่จะทำความเข้าใจศิลปะคืออะไรและจากตรงนั้นมันก็ทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตคืออะไรผ่านในการทำงานศิลปะก่อนตายคุณอยากจะเข้าใจมันว่าคุณเกิดมาทำไมในมิติตรงนี้ไหนๆคุณก็จะต้องตายตรงนี้แล้วเอาไปก้ไม่ได้อะไรซักอย่างอย่างน้อยให้เข้าใจก่อนตายไม่ได้หรออะไรแบบนี้

ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรานั้นได้ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าเราอยากเข้าใจความจริงว่าคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มันอยู่ตรงไหนคือผมคิดว่าทุกอย่างมันคือสัจจะหมดมันก็คือความจริงหมดเพราะว่าทุกคนมันก็มองโลกหรือว่าความจริงจากประสบการณ์ของเขาซึ่งเราจะมาบอกของเราจริงของเขาไม่จริงเป็นไปไม่ได้แต่มันอาจจะเป็นความจริงระดับความจริงสมมุติในการมองปัญหาหรือมองความจริงในส่วนของเรื่องต่างๆ

เราก็อาจจะมองผิดเพราะข้อมมูลของเราผิดก็ได้แต่คือจะทำอย่างไรก็ได้ให้คุณนั้นมีสตินิดนึงเช่นว่าอย่างพึ่งสรุปอะไรเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าพูดถึงการรามาสูตรแต่ผมว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาในทัศนของผมในที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดก็คือการรามาสูตรซึ่งไม่ได้บอกว่าไม่ให้เชื่อแต่จะบอกว่าให้ไปพิสูจน์ก่อนให้มันมีประสบการณ์ตรงก่อน

และผมก็ว่าอันนี้เป็นตัวที่จะทำให้เรามีสติที่จะเข้าในความจริงในฐานะที่มันเป็นแต่ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการประสบการณ์ของผมผมคิดว่าผมได้จากวิปัสสนามาเยอะมากคือผมศึกษาวิปัสสนามาประมาณปี93พอคุณเริ่มเข้าใจสืบสารเหตุปัดจัยว่ามันเกิดขึ้นอย่างไงใน20มันจะวนอยู่แค่ไม่กี่เรื่องโลภ โกรธ หลง ขี้ ปี้ เยี่ยว อิจฉา ริษยา มันมีอยู่ไม่กี่เรื่องทำตรงนั้นคุณถึงจะเข้าใจว่ามันมีมิติบางอย่างที่อยู่ในตัวเราและเราก็ไม่เคยเข้าใจมัน

 

สนับสนุนโดย  dewabet

ดวงตาสีฟ้าที่ถูกค้นพบโดยนักบินอวกาศ

ดวงตาสีฟ้าที่ถูกค้นพบโดยนักบินอวกาศ

บนโลกของเราใบนี้เต็มไปด้วยสถานที่ลึกลับมากมายและคุณเองคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ลึกลับมาไม่มากก็น้อยไม่ว่าจะเป็น สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือ มหานครใต้ทะเลลึกอย่างแอตแลยติส ในวันนี้เราจะพาคุณไปพบกับสถานที่แห่งนี้ที่มีความลึกลับที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนและมันจะมีสถานที่ใดกันบ้าง

ดวงตาแห่งซาฮาร่า Richat Structure

Richat Structure หรือดวงตาแห่งซาฮาร่า ได้ถูกถ่ายด้วยดาวเทียม แลนด์แซตภายใต้ภาระกิจโคจรรอบโลกขององค์การนาซ่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในทะเลทรายซาฮาร่าที่อยู่ในเขตของประเทศมอริเตเนียมีลักษณะที่คล้ายหลุมดำที่มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง40กิโลเมตรโดยมีวงแหวนเป็นกอนหินสร้างขึ้นที่มีระยะห่างเท่าๆกันที่เกิดขึ้นในภายในพื้นที่วงแหวนแห่งนี้เมื่อเรามองจากยานอวกาศลงมาจะมีรูปร่างดวงตาคล้ายสีฟ้าทีแรกได้ถูกสันนิษฐานว่ามันอาจจะเกิดจากหลุมอุกกาบาตขนากใหญ่และภูเขาไฟแต่เมื่อไปตรวจสอบมันกลับไม่ใช่ทั้งคู่ซึ่หลุมแห่งนี้มีอายุระหว่าง90 100ล้านปีก่อนทำให้

นักธรณีวิทยาต่างก็หากันตั้งคำถามที่เกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้และเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ได้กิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำที่ทำให้มันกลายมาเป็นสภายอย่างที่เห็นแต่ที่มันแปลกก็คือทำไมมันถึงมาเป็นวงกลมได้ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบสำหรับรูปทรงนี้ได้นักทฤษฎีบบางคนเชื่อว่านี่มันอาจจะเป็นร่องรอยของเมื่องที่ได้หายสาบสูญไปอย่างเมืองแอตแลยติสซึ่งมันก้ได่มีข้อมูลมาจากหนังสือเพลโตที่ได้อธิบายเอาไว้ว่าในหมู่เกาะลึกลับแห่งแอตแลยติสมันได้มีรูปแบบวงกลมที่ได้ซ้อนกันอยู่โดยมันจะแบ่งเป็นทางน้ำสามวงและดินสองวงที่มันได้ล้อมรอบด้วยหินที่คล้ายกับภูมิเขาก่อนที่มันจะสลายและยุบตัว

และได้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งนี้ที่มันยังเคยมีหลักฐานเมื่อราวๆ40,000ปีก่อนทะเลทรายในที่แห่งนี้มันเคยเป็นที่ตั้งของทะเลสาบแห่งใหญ่แต่อย่างไรก็ตามมันจึงไม่มีใครฟันธงได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและหลายคนก้เชื่อว่ามันอาจจะเป็นของฝีมือของมนุษย์ต่างดาวมนุษย์โบราณหรือมันอาจจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติแต่อย่างไรก็ตามมันก็ได้เป้นอีกสิ่งหนึ่งที่มันได้บอกนักบินอวกาศให้ได้รับรู้ว่าหากได้มองเห็นดวงตาสีฟ้าที่บนพื้นโลกนั้นมันก็หมายความว่ามันเป็นพื้นที่ของแอฟริกานั้นเองแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่แปลกประหลาดเหล่านี้มันก็ยังเป็นที่สงสัยของเหล่านักบินอวกาศอยู่ดี

 

สนับสนุนโดย  แทงบอลออนไลน์2020

ประเพณีกวนกระยาสารท

การกวนขนมกระยาสารท ถือว่าเป็นประเพณีที่มักจะกระทำกันทุกปี

โดยหวังว่าการจัดงานกวนขนมกระยาสารทขึ้นมานี้จะช่วยให้ชาวบ้านมีความรักและสามัคคีกัน คอยช่วยเหลือและร่วมแรงร่วมใจกัน โดยชาวบ้านมักจะจัดงานกวนกระยาสารทขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 โดยจะจัดทุกปีในเดือนกันยายน ซึ่งชาวบ้านแต่ละคนก็จะนำถั่ว  นำงา นำข้าวเม่า นำข้าวตอก และน้ำนมวัว รวมถึงน้ำผึ้งมารวมกันที่วัด

ซึ่งบ้านไหนมีมากก็นำมามาก บ้านไหนมีน้อยก็นำมาน้อย หรือบ้านไหนที่ยากจนมากไม่มีของมา ก็สามารถมาช่วยด้านแรงงานได้ เพราะการกวนขนมกระยาสารทนั้นจะต้องมีการช่วยกันกวนหลายคน เพราะกระทะที่ใช้กวนจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องใช้คนจำนนวนมากในการช่วยกันกวนขนม ซึ่งขนมกระยาสารทนั้นเป็นขนมไทยที่จะใช้สำหรับการทำบุญตักบาตร

เน้นเป็นการถวายพระในงานบุญเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นขนมที่มีมานานตามประเพณี โดยต้องทำตามวัน เวลา ที่แน่นอนตายตัว  

สำหรับประเพณีการกวนขนมกระยาสารทนั้น ว่ากันว่ามีมานานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้ว นอกจากที่ประเทศไทยแล้วประเพณีกวนขนมกระยาสารท ยังมีการจัดงานกวนขนมกระยาสารท ที่ประเทศอื่นอื่นด้วย เช่น ทางแทบประเทศจีน และตอนเหนือของยุโรป ซึ่งคำว่าสารท อันที่จริงแล้ว ว่ากันว่ามีรากฐานของคำศัพท์มาจากประเทศอินเดีย

เป็นภาษาของประเทศอินเดียโดยตรง โดยมีความหมายถึงว่าอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งช่วงนี้ของประเทศไทยคือช่วงที่พืชพันธ์ของไทยกำลังผลิตดอกออกผล พอดี เป็นช่วงทีข้าวกำลังออกรวงข้าว ในช่วงสมัยสุโขทัยประเพณีกวนขนมกระยาสารท เป็นที่นิยมกันแพร่หลายมาก ต่อมาก็ลดจำนวนน้อยลงเรื่อยเรื่อย

จนปัจจุบันจะมีการจัดประเพณีการกวนขนมกระสารทเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น โดยจะมีการนัดกันรวมตัวกันที่วัดและหลังจากที่มีการกวนขนมกระยาสารทเสร็จแล้วก็จะมีการตักใส่ถุงแจกจ่ายให้กับแต่ละบ้านที่มาช่วยกันกวน และในวันรุ่งขึ้นก็จะมีการนำขนมกระยาสารทที่กวนแล้วเมื่อวานนำมาใส่บาตรด้วย  ปัจจุบันเราจะยังคงเห็นขนมกระยาสารท มีขายตามร้ายขายขนมทั่วไป แต่จะมีขายเฉพาะช่วงที่มีการจัดงานประเพณีนี้เท่านั้น

ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักจะซื้อกิน ไม่นิยมมาทำทานร่วมกันแล้ว และไม่ได้ทำเอาไว้สำหรับใส่บาตรเท่านั้น หลายคนซื้อเพื่อกินเล่นอีกด้วย แม้ว่าประเพณีกวนขนมกระยาสารท จะห่างหายไปจากประเทศไทยแล้ว แต่เราคนไทยก็ยังคงหากินขนมกระยาสารทนี้ได้ตลอด

 

สนับสนุนโดย  9luck

อาจารย์เฉลิมชัย ศิลปินแห่งชาติ

วันนี้เราจะมาดูที่วันร่องขุนที่อาจารย์เฉลิมชัยยังคงที่จะมุ่งหน้าที่จะสร้างกันต่อไปเรื่อยๆนั้นปัจจุบันทุกวันนี้ได้มีการเปลี่ยนไปอย่างกันกันบ้างแล้วเดี๋ยวมาดูกัน

และที่วัดร่องขุนนั้นก็มีลานกว้างและมีหอระฆังบ่อน้ำอธิษฐานจิตและยังมีเมรุที่สวยงามที่สุดในโลกซึ่งแต่ก่อนนั้นเมรุของ อาจารย์นั้นเขาจะปล่อยให้นำเอาศพเข้ามาเผาได้แต่ปัจจุบันนี้เขาก็ได้มีการเปลี่ยนแปรงละเขาก็ได้มีการประชุมกันเมื่อไม่นานมานี้ถ้ามีศพเข้ามาจริงๆจะทำอย่างไรและก็ได้มีการประชุมว่าจะมีการส่งผลกระทบอะไรมั้ยสุดท้ายศพนั้นก็ไม่ได้เผา

เพราะมีการชุมและคิดว่ามีจำนวนประชากรนักท่องเที่ยวเยอะมากที่ได้เข้ามาถ่ายรูปของเมรุมากมายและถ้าได้มีการเผานั้นมันจะเป็นที่อุจาดและมีกลิ่นด้วยซึ่งที่จริงแล้วมันอยู่กลางวัดเขาก็เลยมีการย้ายป่าช้าใหม่ไปอยู่หลังวัดซึ่งตอนนี้เขาได้มีการดำเนินการสร้างขึ้นมาใหม่

ซึ่งเมรุแห่งนี้นั้นไม่มีใครที่จะกล้าเอาศพนั้นมาเผาเพราะว่าตัวเมรุนั้นมีสภาพที่สวยงามจนไม่กล้าที่จะนำเอาศพไปเผาจากนั้นก็เลยได้เอาเมรุหลังนี้เก็บเอาไว้ที่เดิมเพื่อที่เอาเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวนั้นได้เข้ามาถ่ายรูปและในส่วนของเมรุนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่หลังวัดแล้วที่กำลังจะสร้างขึ้น

วัดร่องขุน 20ปีของจินตนาการกับ ศิลปะที่ยังไม่มีที่สิ้นสุดจากนั้นมาได้มีคนถามอาจราย์ว่าไม่เบื่อหรือไง อาจราย์ยังได้บอกอีกว่าถ้าเบื่อแล้วจะสร้างทำไมถ้ามึงอุทิศให้กับงานสร้างศิลปะประจำ ร.9 และประเทศชาติของพระศาสนามึงจะไม่มีววันเบื่อถึงแม้จะตายไปแล้ว

ก็ไม่มีวันเบื่อเพราะฉะนั้นในความเบื่อเหล่านี้มันเป็นของพวกที่กระจอก สำหรับที่วัดร่องขุนนั้นยังได่มีความสวยงามระดับหนึ่งของประเทศไทยที่ได้มีอาจารย์เฉลิมชัยเป็นคนสร้างขึ้นมาจากนั้น

ถ้าใครที่ได้ไปเที่ยวหรือไปชมความงามทางด้าน ศิลปะ

ในที่วัดแห่งนี้จะบอกเลยว่าสวยงามตระการตาเป็นอย่างมากนอกจากนี้อาจารย์ยังได้บอกอีกว่าเขากำลังที่จะสร้างมหาวิหารขึ้นมาอีกหนึ่งหลังและเป็นที่สุดท้ายของชีวิตอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ได้บอกไว้ว่าอายุ65อาจารย์จะสร้างวิหารเพราะทุกอย่างอาจารย์ได้วางแผ่นเอาไว้หมดแล้วเพราะมันจะนำไปสู่ความตายเพราะเป็นการตายที่จัดสรรค์อย่างอลังการคือมันเนรมิตทุกอย่างให้กับตัวเองได้เพราะชีวิตนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องขึ้นตรงต่อใครเพราะเป็นวิธีคิดของเราดำรงชีวิตที่มันเป็นอิสระภาพ

 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆโดย rb88

ความหมายของศิลปะ

ศิลป์ เป็นคำที่สื่อความหมายอีกทั้งกว้างแล้วก็จำเพาะเจาะจง ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่ ทรรศนะของนัก ปราชญ์แต่ละคน และก็ความศรัทธาแนวความคิด ในแต่ละยุค แต่ละยุค มีความต่างกัน หรือสุดแต่ว่า จะนำศิลป์ไปใช้ ในวงการที่กว้างใหญ่ หรือจำกัดเช่นไร แต่ว่าจากทรรศนะของปราชญ ทั้งหลายแหล่จะ มีความคิดเห็นว่าศิลป์มีคุณสมบัติ ที่เป็นตัวร่วม สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เป็น การแสดงออก ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ประสบการณ์ ความสวยสดงดงามการเห็นแจ้ง เครื่องหมาย ความเกิดเรื่องราวหรือ เรื่อง ก็ล้วนแล้วแต่เป็น การแสดงออกโดยมนุษย์เป็นผู้เลือกสรร หรือสร้างสรรค์ ขึ้นทั้งหมด ด้วยเหตุดังกล่าว ก็เลยพอเพียงจะบอกความหมายของศิลป์ในแนวกว้างๆได้ดังต่อไปนี้

ศิลป์ เป็น สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ความนึกคิดแล้วก็หรือ ความงามดังนี้จะกล่าว โดยรวม ก็คือ ศิลป์ จะประกอบไปด้วย องค์ประกอบ 3 ประการ คือ

  1. มีความงาม
  2. มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน
  3. มีความคิดสร้างสรรค์

เหตุที่จำกัดวงอยู่เฉพาะผลผลิตของมนุษย์ อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากว่า ในบรรดา สัตว์โลกร่วมกัน มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวซึ่งสามารถ สร้างสื่อ สำหรับในการ ทำความเข้าใจด้วยกันเหมาะสมที่สุด และก็การดำเนิน ชีวิตก็มีการปรับปรุง ไปเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์ ยกย่องความเป็นสัตว์โลกของตัวเอง ว่าเป็นจำพวกที่เหนือกว่า สัตว์โลกชนิดใด

ด้วยเหตุดังกล่าว รูปร่างลักษณะหรือ ผลงาน ประดิษฐ์ จากสิ่งต่างๆที่ไม่ใช่ผลงานของคนเรา แล้วก็ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่มี ความ สลับซับซ้อน มีความสวยงาม มีรูปทรงแปลกตา ถึงแม้ มนุษย์ จะมีความชื่นชมแต่ว่าก็ไม่ ยอมรับว่าสำเร็จงานศิลปะ แต่ว่าถ้าหากมนุษย์ ใช้ความบันดาลใจ จากสิ่งพวกนั้น มาประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ นับได้ว่าเป็นศิลป์ แต่จะเป็น ศิลป์บริสุทธิ์ (Fine Art) หรือศิลปปรับใช้ (Applied Art) หรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับจุดมุ่งหมาย สำหรับการสร้าง

คำนิยามของศิลปะ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 ให้นิยามของศิลป์ว่า ศิลปะ เป็น ฝีมือ ความสามารถทางการช่าง การแสดงซึ่งอารมณ์ สะเทือนใจ ให้ประจักษ์เห็น

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีรศรี (C. Feroci) ศิลปินชาวอิตาเลียนผู้มาวางรากฐาน การศึกษาศิลปะยุคใหม่ในประเทศไทย ได้นิยามความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นงาน อันเป็นความพากเพียรของผู้คน ซึ่งต้องใช้ความเพียรพยายาม ด้วยมือแล้วก็ความคิด และก็ยังมีคำนิยามของศิลปะที่น่าสนใจรวมทั้งถูกใช้อ้างอิง อย่างแพร่หลาย ในตอนนี้ ที่ปรากฎตามหนังสือ รวมทั้งเอกสารต่างๆดังจะยกตัวอย่าง พอเป็นสังเขป ดังต่อไปนี้

ศิลป์ เป็น การเลียนแบบธรรมชาติ (Art is the imitation of nature) การตีความจากคำนิยามนี้ ธรรมชาติ นับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด แรงบันดาลใจ ให้แก่ ศิลปินสำหรับในการสร้างงาน คำนิยามนี้ว่าศิลป์เป็น การเลียนแบบธรรมชาติ เป็น คำนิยาม ที่ถือกันว่าดั้งเดิมที่สุดซึ่ง อริสโตเติล (Aristotle 384-322 B.C.) นักปราชญ์ชาวกรีก เป็นผู้ตั้งขึ้น เป็นการทำให้เห็นว่า ธรรมชาติอาจเปรียบได้ดังแม่บทสำคัญ ที่มีต่อศิลปะ

ศิลปะ พัฒนาสมองได้สุดยอดเกินกว่าจะคาดถึง

วิชาที่หน่วยกิตต่ำมาก เรียนทั้งทีแทนที่จะได้วาดภาพงามๆก็ทะลึ่งสอนทฤษฏีสีอันน่าเบื่ออยู่ได้

การจะวาดภาพสวยๆสักรูปนึง ใช้ความสามารถหลายอย่างมากๆครับ มากกว่าการแก้ปัญหาเลขยากๆเสียด้วยซ้ำไป เป็นการฝึกพัฒนาสมองเป็นอย่างดีเกินกว่าเข็มขัดจะคาดถึงก่อนที่จะลงมือวาด จำต้องใช้ความชำนาญการสังเกตอย่างเต็มกำลัง สุดจริงๆ จำต้องทุ่มเทสมาธิไปที่การมอง เริ่มจากการสังเกตทรง เหลี่ยมโค้งมุม เส้น สี แสง ดูเกินกว่าการมองทั่วจะมองเห็น สมองจำเป็นต้องประมวลผลอย่างมาก จะต้องประติดประต่อภาพในสมองก่อนและก็จำต้องวางแผนวาด การวางเป้าหมายถือว่าเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ แล้วก็เชิงวิสัยทัศน์ เป็นต้นแบบความนึกคิดของผู้นำเลยทีเดียว

คิดแผนจึงควรร่างยังไง รูปทรงเช่นไร จะต้องใช้สีอะไรบ้าง ลงสีที่ไหน คอนเซ็ปภาพจะออกมาเป็นอย่างไร แล้วก็ที่สำคัญคนเห็นภาพเขาจะรู้สึกยังไง จินตนาการล่วงหน้าด้วยวิสัยทัศน์ครับผม

เมื่อลงมือวาด จะต้องมีสมาธิสำหรับในการบังคับมือสัมพันธ์กับสายตา ขีดเส้นสายเทียบกับการสังเกต ต้องไม่ใจร้อนและควรทำใจเย็น จำเป็นต้องกำจัดความคิดฟุ้งซ่าน การลงสีก็จำเป็นต้องคำนวณการผสมสีให้ได้ดังใจ วางตำแหน่งสีตามที่คิด มันต้องจะต้องคิดแก้ไขปัญหาตลอดเวลา เนื่องจากว่าเวลาวาดรูปชอบไม่เป็นไปตามที่คิดอยู่เป็นประจำวาดผิดรูปทรงบ้าง สีไม่เข้ากัน มือสะดุดสีเลอะบ้าง ออกมาแล้วมองขัดๆบ้าง จำเป็นต้องคิดขจัดปัญหาตลอดว่าจะปรับเช่นไรครับผม

บางโอกาสวาดแล้วภาพออกมาเละ แบบจะเฟี้ยงแปรงทิ้งกันเลยทีเดียว ต่างก็รู้จักการจัดการอารมณ์ครับผม อย่าให้จิตตก หรือความตึงเครียดครอบงำเชียง ไม่อย่างนั้นเละแล้วเละเลย จำต้องปรับอารมณ์ ปรับจิตใจให้กลับสถานการณ์กลับมาหาทางแก้ไข ซึ่งบางครั้งก็จำเป็นต้องพักรับประทานกาแฟ ออกไปเดินสูดอากาศพักสมองก่อนภาพแต่ละภาพผมนึกออกมาเป็นหมื่นๆครั้งขอรับ มีปัญหาเป็นหมื่นๆ ปริศนา เป็นหมื่นแน่ๆ เพราะว่าวาดทีหลาย ชั่วโมง คิดๆๆจะขีดเส้นไปทางไหน สีนี้จะให้กลมกลืนอย่างไร ที่ตรงนี้ปาดสีอย่างไร ความนึกคิดที่สำคัญที่สุดเป็น ทำอย่างไรภาพควรจะมีความรู้สึกขอรับ ภาพจะต้องมีชีวิต มันไม่ใช่แค่เส้นสีบนผืนผ้าใบ กว่าจะจบงานแต่ละชิ้น ดูแล้วมองอีก แต่งแล้วแต่งอีก

เห็นไหมครับ ศิลป์พัฒนาสมองขนาดไหน พัฒนาหลายด้านมากๆ งานชิ้นหนึ่งจะต้องใช้สมองหลายแบบรวมทั้งสมาธิจำต้องดีมากๆ ยุคนี้ต้องการความคิดสร้างสรรค์และก็สิ่งใหม่ ซึ่งก็เป็นความชำนาญด้านศิลปะดนตรีทั้งหมดเลยถ้าหากศึกษาบุคคลสำคัญของโลก ตัวอย่างเช่น ไอน์สไตน์ จะพบว่าพวกเขาเหล่านั้น มีความสามารถด้านศิลปะดนตรี ผู้ที่เก่งจริงๆจะมีสมองเยี่ยมทั้งยัง 2 ส่วน มีอีกทั้งศาสตร์แล้วก็ศิลป เป็นผู้ที่คิดอะไรได้เกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้ (บางทีโดนคิดว่าบ้า) คุณเข้าใจเขาไม่ได้หรอกนะครับ ถ้าหากไม่ได้ระบบความนึกคิดที่พัฒนาแบบเขา แล้วก็สิ่งสูงสุดที่เขาได้รับก็คือความสุข เป็นความสุขพิเศษ สุขสงบ สุขเหนือสุขทั่วๆไป

วรรณคดี

วรรณคดี หมายคือ วรรณกรรมหรืองานประพันธ์ที่ยกย่องกันว่าดี มีประโยชน์ แล้วก็มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในยุครัชกาลที่ 6

วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้คนอ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะสมแก่การให้ประชาชนได้รับทราบ เนื่องจากว่า สามารถ ยกระดับจิตใจให้สูงมากขึ้น รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร

วรรณคดีมุขปาฐะ  เป็น วรรณคดี แบบที่เล่ากันมาปากต่อปาก ไม่ได้บันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร ยกตัวอย่างเช่น ดนตรีพื้นเมือง นิทานชาวบ้าน บทเพลงเล่น

วรรณคดีราชสำนัก หรือ วรรณคดีลายลักษณ์  เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระอภัยมณี อิเหนา ลิลิตตะเลงพ่าย

วรรณคดีในภาษาไทย

  • วรรณคดี เป็น วรรณกรรมหรืองานด้านการเขียนที่ยกย่องกันว่าดี มีประโยชน์ และก็มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินคุณค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในยุครัชกาลที่ 6
  • วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์เศร้าโศก มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่เพราะ เหมาะสมแก่การให้ประชาชนได้รับรู้ เนื่องจากว่า สามารถ ยกระดับจิตใจให้สูงมากขึ้น รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร

วรรณคดีในภาษาไทย

วรรณคดีในภาษาไทย ตรงกับคำว่า “Literature ในภาษาอังกฤษ” โดยคำว่า Literature ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า การศึกษา ระเบียบปฏิบัติของภาษา ซึ่งในภาษาอังกฤษจะมีความหมายหลายประเภท ดังต่อไปนี้

อาชีพการประพันธ์

งานประพันธ์ในยุคใดยุคหนึ่ง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ และก็คนอ่านทั่วๆไป สำหรับในภาษาไทย วรรณคดี ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีชมรม วันที่ 23 ก.ค. พุทธศักราช 2457 โดยสื่อความหมายเป็น หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี นั้นเป็นมีการใช้ภาษาอย่างดี มีศิลปะการแต่งที่ยอดเยี่ยมอีกทั้งด้านศิลป์การใช้คำ ศิลปะการใช้โวหารและก็ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และก็ภาษานั้นบอกความหมายเด่นชัด ทำให้เกิดการโน้มน้าว

อารมณ์คนอ่านให้คล้องตามไปด้วย กล่าวง่ายๆเป็น เมื่อผู้อ่าน อ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกปลื้มปิติ ตื่นเต้นดื่มด่ำ หนังสือเล่มใดอ่านแล้วมีอารมณ์เฉยๆไม่ซาบซึ้งประทับใจแล้วก็ทำให้น่าเบื่อนับว่าไม่ใช่วรรณคดี หนังสือที่ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความรู้สึกฝ่ายสูง เป็นส่งผลให้เกิดอารมณ์ความนึกคิดในทางที่ดีงาม ไม่ชักจูงในทางที่ไม่ดี

การศึกษาวรรณคดีโดยวิเคราะห์ตามประเภท สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้

  • วรรณคดีคำสอน
  • วรรณคดีศาสนา
  • วรรณคดีนิทาน
  • วรรณคดีลิลิต
  • วรรณคดีนิราศ
  • วรรณคดีเสภา
  • วรรณคดีบทละคร
  • วรรณคดีเพลงยาว
  • วรรณคดีคำฉันท์
  • วรรณคดียอพระเกียรติ
  • วรรณคดีคำหลวง
  • วรรณคดีปลุกใจ

น้ำพุร้อนนอนเซ็น ในภาคเหนือ

การแช่น้ำพุร้อน ใครใครก็คงอยากไปแช่กันในหน้าหนาวใช่ไหมคะ แต่ไม่หนาวก็แช่ได้เหมือนกันค่ะ เพราะเขาว่ากันว่าหากเราแช่น้ำพุร้อนแล้ว จะช่วยให้เราหายปวดเมื่อย

วันนี้เราจึงมีข้อมูลออนเซ็นเมืองไทยมาฝากกันค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศ

  • น้ำพุร้อนฝาง  น้ำพุร้อนแห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่นี่จะมีน้ำพุร้อนมากมายหลายบ่อเอาไว้คอยบริการนั่งท่องเที่ยว ทั้งบ่อเล็กและบ่อใหญ่รวมรวมกันแล้วน่าจะประมาณเกือบ 50 บ่อ และยังมีบ่อเอาไว้สำหรับต้มไข่กินอีกด้วย ส่วนอุณหภูมิของน้ำพุอยู่ที่ราวราว 90 องศาเซลเซียส ใครอยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและหายเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวก็สามารถมาแช่น้ำพุที่นี่ได้เลย และหากใครไม่อยากแช่รวมกับคนอื่น ก็มีบริการบ่อแช่ส่วนตัวให้ด้วยนะจ๊ะ
  • โป่งเดือนป่าแป๋  น้ำพุที่นี่จะไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะที่นี่จะมีน้ำพุงออกมาจากผิวดินเป็นบางครั้งเท่านั้น  บ่อน้ำพุแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่และมีความร้อนสูงถึง 170-200 องศาเซลเซียส ซึ่งน้ำพุแห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ ที่นี่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเน้นการมาอบไอแร่และอาบน้ำแร่ และยังมีศึกษาความงามของธรรมชาติของอุทยานด้วย
  • น้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่  สำหรับที่นี่นักท่องเที่ยวนอกจากจะได้เห็นน้ำที่พุ่งขึ้นมาจากดินทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งน้ำที่พุงจะสูงขึ้นไปหลายเมตรมาก แลดูสวยงาม แถมที่นี่ยังมีบ่อน้ำแร่ให้แช่ตัวและธารน้ำแร่ให้แช่เท้า รวมถึงบ่อต้มไข่ และเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้ามากยิ่งขึ้น ทีนี่ยังมีบริการนวดตัวให้ด้วย ลองคิดดูว่านอนให้คนนวดตัวให้ท่ามกลางธรรมชาติและยังได้สูดกลิ่นบรรยากาศบริสุทธิ์ได้ยังมีความร่มรื่นของต้นไม้และดอกไม้ อีกด้วย
  • โป่งน้ำร้อนท่าปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำหรับใครที่ต้องการแช่น้ำร้อนจะมีอยู่ 2 บ่อแต่หากใครอยากแช่เท้า แช่ตัวด้วยน้ำแร่จะมีน้ำผุดอยู่หลายจุดทีเดียวและที่นี่ยังมีบ่อต้มไข่ได้ด้วย ที่นี่จะเป็นการแช่น้ำร้อนท่ามกลางธรรมชาติหากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ลองแวะมาเที่ยวได้ สำหรับที่นี่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จะอยู่ไปทางฝังเมืองปาย
  • น้ำพุร้อนไทรงาม จังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาว่ากันว่า น้ำพุแห่งนี้ถือเป็น Unseen Thailand เลยทีเดียวเพราะสิ่งที่สร้างความโดดเด่นและสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่ก็คือ น้ำที่มีสีเขียวใส เหมือนมรกต แถมน้ำก็กำลังอุ่นสบายตัว ใครได้ลองมาแช่ตัวที่นี่มักจะติดใจกันทุกราย 

วัฒนธรรมการกินอาหารในแต่ละภูมิภาค

ภาคกลางมีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มมีภูเขาบ้างส่วนมากจะเป็นภูเขาเตี้ยๆมีแมท่น้ำหลายสายไหลผ่านทำให้เกิดเป็นที่ราบลุ่มและในส่วนพื้นที่ริมแม่น้ำนั้นเหมาะแก่การเพาะปลูกและเอาไว้เลี้ยงสัตว์จึงได้กลายเป็นภาคที่ดูอุดมสมบูรณ์มากที่สุดมีข่าวปลาอาหารพืชผักผลไม้นาๆชนิดอุดมสมบูรณ์เกือบตลอดทั้งปีด้วยเหตุนี้อาหารภาคกลางจึงเป็นอาหารที่มาความหลากหลายทำให่อาหารรสชาติของอาหารภาคกลางนั้นไม่เน้นไปทางรสชาติใดรสชาติหนึ่งโดยเฉพาะรสชาติของอาหารภาคกลางจะมีการผสมผสานอาหรในหลายรสชาติทั้งรสเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ด

โดยคนภาคกลางมักจะบริโภคหข้าวเจ้าเป็นหลักสลับกับข้าวหนี่ยวการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อนั้นจะถูกจัดเป็นสำรับและมีกับข้าวหลายอย่างทั้งยังเป็นอาหารที่มีครบรสซึ่งอาหารไทยที่คนต่างชาติรู้จัดและได้นิยมบริโภคล้วนแต่เป็นอาหารของภาคกลางทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้งแกงเขียวหวานผัดไทพะแนงเป็นต้นจึงทำให้อาหารของภาคกลางมีความโดยเด่นเป็นพิเศษมากกว่าอาหารภาคอื่นโดยจุดเด่นของอาหารภาคกลางคือมักจะมีการประดิษฐ์สร้างสรรค์อย่างวิจิตอย่างบรรรจงทั้งผักและผลไม้ได้มีการแกะสลักอย่างสวยงามแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของไทยที่มีศิลปและวัฒนธรรมที่งดงาม 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคอีสาน 

เป็นชุมชนที่มีพื้นที่ที่หลากหลายชาวอีสานมีวิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายรับประทานอาหารได้ทุกอย่างชาวอีสานมักจะรู้จักการนำเอาสิ่งต่างมาทำเป็นอาหารดักแปรงให้กลายมาเป็นอาหารในท้องถิ่นอาหารอีสานทุกมื้อจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบหลักและพวกเนื้อย่างเช่นเนื้อปลา เนื้อวัว หรือ เนื้อควาย แล้วแต่ความต้องการของความชอบในแต่ละบุคคลนั้นเครื่องปรุงาหารอีสานที่สำคัญและแถบจะขาดไม่ได้เลยทุกครัวเรือน ปลาร้า ซึ่งได้เกิดจากภูมิปัญญาด้านการถนอมของบรรพบุรุษของชาวอีสานถ้าจะกล่าวว่าชาวอีสานว่าอีสานทุกครัวเรือน

จะต้องมีปลาร้าประจำครัวเรือนก็คงไม่ผิดนักปลาร้าใช้เป็นส่วนประกอบหลักอาหารได้ทุกประเภคเหมือนกับที่ชาวไทยภาคกลางใช้น้ำปลาซึ่งปลาร้านอกจากจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหารแล้วปลาร้ายังเป็ยส่วนประกอบในการปรุงรสชาติของอาหารอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้จักกันในประเทศไทยไปจนถึงทั่วโลกที่ได้เรียกกันว่าส้มตำเป็นภาษกกลางที่ใช้เรียกกันทั่วไปแต่ถ้าเป็นชาวอีสานจะเรียกว่าตําบักหุ่งหรือตำส้มส้มตำของชาวอีสานจะมีความหลากหลายทั้งพืชพักผลไม้ชนิดต่างๆสามารถนำเอามาตำรับประทานได้หมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตำหน่อไม้ ตำแตงกวา ก้สามารถทำได้และยังมีรสชาติอร่อยอีกด้วย