ประวัติศาสตร์ของนายป๋วย

บุคคลดีที่มีใจสัตย์ซื่อผู้ใหญ่ที่โอบอ้อมอารีนักวิชาการที่เป็นมิ่งขวัญเสาหลักทันเศรษฐศาสตร์ผู้เป็นธรรมแบบอย่างผู้เสียสละที่ต่อสู้เพื่อตอบแทนคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน

ย้อนกลับไปเมื่อปีพุทธศักราช2459เด็กชายป๋วยได้ลืมตาดูโลกในบ้านหลังเล็กๆฐานะยากจนแถวตลาดน้อยมีพี่น้อยรวม7คน พ่อได้เป็นชาวจีนอพยพอาชีพขาส่งปลาชื่อว่า นายซา ส่วนแม่คือ นางเซาะเช็ง เชื้อสายจีนไทยแต่ก็สามารถส่งลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญแผนภาษาฝรั่งเศสได้

เมื่อเด็กชายป๋วยมีอายุได้เพียง10ขวบคุณพ่อก็ได้ถึงแก่กรรมภาระเลี้ยงดูลูกทั้ง7คนจึงได้ตกมาเป็นของแม่เด็กชายป๋วยได้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาด้วยคะแนนดีเด่นโรงเรียนอัสสัมชัญจึงขอให้ช่วยสอนวิชาคำนวณและภาษาฝรั่งเศสทันทีครูป๋วยได้รับเงินเดือน40บาทแบ่งให้แม่30บาทเหลือใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย

นอกจากนั้นก็ได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยวิชาศาสตร์และการเมืองเพียง3ปีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นล่านให้อาจารย์ฝรั่งเศสในระหว่างนั้นในปีพุทธศักราช2481ก็ได้สอบชิงทุนรัฐบาลได้ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ลอนดอนประเทศอังกฤษในปีพุทธศักราช2484

นายป๋วยได้เรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ1ด้วยคะแนนสูงสุดจนได้รับทุนการศึกษาต่อปริญญาเอกทันที

ในขณะที่นายป๋วยกำลังศึกษาอยู่ปริญญาเอกอยู่นั้นสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช2485รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจเข้ารวมกับฝ่ายอักษะและได้ประกาศกับฝ่ายสัมพันธมิตรคนไทยระดับปัญญาชนได้รวมตัวกันตั้งขบวนการเสรีไทยทั้งในและต่างประเทศ

นายป๋วยที่ได้ใช้ชื่อจัดตั้งว่า นายเข้ม เย็นยิ่ง ได้ร่วมเป็นอาสาสมัครในกองทัพอังกฤษได้เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับเสรีไทยในบ้านเกิดด้วยความกล้าหายหลังสงครามโลกยุติลง นายป๋วย ก็ได้กลับไปยังอังกฤษได้ขอคำยศพันตรีที่กองทัพอังกฤษนั้นได้มอบให้เพราะยึดมั่นคำปฏิญาณที่ว่า “ การเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยในครั้งนี้มิได้ต้องการผลตอบแทนด้านๆเลยทั้งสิน

ในปีพุทธศักราช2489นายป๋วยก็ได้สมรสกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความสำคัญในชีวิตของนายป๋วยเป็นเพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุกที่ได้ยืนเคียงข้างกันตลอดมาและการวางตัวของภรรยานายป๋วยถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยในการรักษาความซื่อสัตย์ความสุจริตตลอดชีวิตการทำงานของนายป๋วยหลังจากที่เรียนจบปริญญาเอก ในปีพุทธศักราช2492 ดร.ป๋วยเลือกที่จะรับราชการแทนการทำงานกับบริษัทเอกชนที่เสนองานพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงมา “ด้วยสำนึกว่า ด้วยจากจะเกิดเมืองไทยกินข้าวไทยแล้วยังได้รับทุนเรียนรัฐบาลไทยคือเงินของชาวนาเงินของชาวไทยไปเมืองนอกแล้วผูกพันธ์ใจว่าจะรับราชการไทยด้วย”เช่นกัน